02 พฤศจิกายน 2551

“นิธิ เอียวศรีวงศ์”กับข้อหา “ไฮแจ๊กเมียเพื่อน”







“นิธิ เอียวศรีวงศ์” ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งจุดประกายความคิดบรรเจิดขณะกรึ่มเบียร์ร้านหมูจุ่มที่เชียงใหม่ และเป็นกลุ่มนักวิชาการที่มีบทบาทเป็น “ป๋าดัน”ให้กับกลุ่มเอ็นจีโอสู้กับรัฐบาลโดยเฉพาะในยุคทักษิณ ก็เป็นกำลังหลักในการล้มโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก-หินกรูด
ถ้าไม่มี “ปรากฏการณ์พันธมิตรฯ” เชื่อแน่ว่า อาจไม่มีคำถามจนกลายมาเป็นบทความชิ้นนี้
เพราะก่อนหน้านี้ นักวิชาการ ฝ่าซ้าย มักอยู่ขั้วตรงข้ามรัฐบาลเป็นปรากฏการณ์ปกติ แต่เมื่อมีม็อบพันธมิตรฯ การแยกขั้วเกิดขึ้นทุกวงการ


คำถามที่น่าคิดก็คือ แล้วพี่น้องที่ประจวบฯซึ่งเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ มีอาจารย์นิธิเป็น “ปัญญาชนแถวหน้า” ผลิตและขยายผลองค์ความรู้ในสงครามชิงทรัพยากรนั้น ความสัมพันธ์ยังดีกันอยู่หรือไม่
เพราะจะว่าไปแล้ววันนี้ อาจารย์นิธิ ผู้เคยนิยามตัวเองเป็น หมูชอบโอ่ความเป็นตัวผู้และนิยมให้ “กล้วย” คนที่อยู่ขั้วตรงกันข้าม กลับถูกจัดพวกให้อยู่ขั้วตรงข้ามพันธมิตรฯ หรือกลายเป็นพวกทักษิณ
เมื่อเวลา 22.40 น.วันที่ 22 ก.ย. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล ด่าอาจารย์นิธิฯอย่างถึงกึ๋นว่า “ไฮแจ็กเมียเพื่อนมาเป็นเมียตัวเอง”


“เขาว่ามหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเป็นมหาวิทยาลัยเลือก ตกลงก็เลือกเอาเมียเพื่อนมาทำเมียตัวเอง แค่นี้ก็ผิดศีลธรรม ร้ายแรงแล้ว ถ้าเป็นข้าราชการประพฤติชั่วอย่างนี้โทษต้องไล่ออกจากราชการ คุณไม่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัวลูกเมียแล้วคุณจะซื่อสัตย์กับใคร” นี่คือถ้อยคำของสมศักดิ์ โกสัยสุข
(อ่านเนื้อหาสมบูรณ์ได้จากhttp://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000112543)



ประเด็นที่สมศักดิ์ หยิบยกมาโจมตีอาจารย์นิธินั้น อาจถือเป็นจุดอ่อนอย่างถึงที่สุดของอาจารย์นิธิ แต่สมศักดิ์อาจยังไม่ได้อัพเดทข้อมูลว่า กับงานนี้อาจารย์นิธิถูกแอนตี้ถึงขนาดว่าเพื่อนนักวิชาการร่วมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็ไม่อยากสังฆกรรม จนอาจารย์นิธิต้องขอลดบทบาทตัวเองออกมาจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และมาร่วมกับ “อาจารย์ สุชาดา จักรพิสุทธิ” ตั้ง “สถาบันการศึกษาทางเลือก” โดยประเดิมงานแรกเพื่อหวังสร้างผลงานขอทุนทำวิจัยต่อก็คือ การมาเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นกรณีความขัดแย้งโครงการโรงถลุงเหล็กที่บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์



แต่ความเป็นมือใหม่หัดขับ แม้จะได้รับการเปิดโอกาสให้ใช้ประเด็นโรงถลุงเหล็กเป็นบันไดขั้นเพื่อสร้างบทบาทต่อสาธารณะแต่ในทางปฏิบัติสาระของการรับฟังความคิดเห็น กลับเป็นความเห็นฝ่ายเดียวคือจากฝ่ายคัดค้าน
สุชาดา จักรพิสุทธิ์

เพราะเวลานั้นการสร้างบรรยากาศอาณาจักรความกลัวแพร่ปกคลุมพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อมีการยิงลูกจ้างของบริษัทสหวิริยา นายรักศักดิ์ คงตระกูล (ปัจจุบันยังไม่สามารถเอาคนยิงมาลงโทษ) ขณะเดียวกันก็มีการประกาศเชิญชวนตามหน้าสื่อที่เป็นแนวร่วมแคบๆ จึงไม่มีตัวแทนฝ่ายสนับสนุนโครงการเข้าร่วมประชุม
พูดภาษาชาวบ้านก็คือ เวทีกลางรับฟังความคิดเห็น ล้มไม่เป็นท่า สร้างความฉุนเฉียวให้กับคนที่เล่นบทป๋าดันเป็นอย่างยิ่งถึงขนาดหลุดคำ “ความเป็นกลางระหว่างไข่สองลูก” ในบทความตีพิมพ์ในมติชน(http://www.oknation.net/blog/ngo/2008/03/03/entry-1)


กับเรื่องวุ่นๆทางการเมือง อาจารย์นิธิ ออกจะเป๋ๆ อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการปฏิวัติ 19 กันยายน การสัมภาษณ์และบทความออกไปในแนวทางที่นักวิชาการอย่างสมศักดิ์ เจียมธีระสกุลต้องเขียนบทความตำหนิ ว่าเป็นท่าทีสนับสนุนการปฏิวัติ(http://somsakcouppostings.blogspot.com/2006/09/peaked.html)
แต่ไปๆมาๆ ในช่วงเกือบ “ตกขบวน” อาจารย์นิธิก็ออกมาประกาศจุดยืนแสดงความเห็นในขั้วตรงข้ามกับพันธมิตรหลายกาลและวาระ แต่นัยยะก็คือ อาจารย์นิธิยังเชื่อในเรื่องของระบบเลือกตั้ง
“ระหว่างการยุบสภากับการกดดันให้ลาออก ผมคิดว่ายุบสภาดีกว่า ยุบสภาคือการให้อำนาจกลับคืนให้ประชาชนตัดสินใหม่ ส่วนยุบแล้วกลุ่มพันธมิตรจะเลิกไหม ผมก็อยากจะตอบว่าเลิกไม่เลิกก็เรื่องของคุณ ถ้าหลังการเลือกตั้งคนเลือกพรรคพลังประชาชนกลับมาใหม่อีก แล้วคุณยังไม่เลิกก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างกลับเข้าไปสู่ระเบียบก็ต้องใช้พลังทางสังคมเข้าไปจัดการ” (http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=13583&Key=HilightNews)
ท่าทีของอาจารย์นิธิ จึงต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับแกนนำม็อบที่ประจวบคีรีขันธ์ ไม่ว่าจะเป็นจินตนา แก้วขาว,สุพจน์ ส่งเสียง และวิฑูรย์ บัวโรย ที่แม้ยังไม่ออกมาร่วมขบวนกับพันธมิตรฯโดยตรงแต่ก็เคยให้สัมภาษณ์โจมตีรัฐบาลพรรคพลังประชาชนหลายต่อหลายครั้ง และโดยการตีความก็เหมือนอยู่ในภาวะเป็นแนวร่วมกับพันธมิตรฯนั่นแหละ

วันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแกนนำม็อบประจวบฯกับอาจารย์นิธิ ยังญาติดีกันอยู่หรือ ?

ที่ผ่านมาซึ่งท่านบอกสู้เพื่อชาวบ้านเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมยังเชื่อได้อยู่หรือ ?
เพราะถ้อยคำของสมศักดิ์ “คุณไม่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัวลูกเมียแล้วคุณจะซื่อสัตย์กับใคร” มันดังก้องอยู่ในหัวว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่าที่ผ่านมาพวกท่านพูดความจริงทั้งหมด
ถ้าจะบอกว่า ความคิดทางการเมืองแตกต่างแต่ไม่แตกแยก บอกตามตรงว่า ถึงวันนี้เชื่อยากเพราะขนาด “ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” ยังถูกด่าว่า “ทะลึ่ง”
แกนนำม็อบประจวบฯกล้าที่จะลุกขึ้นมาปกป้องอาจารย์นิธิจากการใส่ไฟของแกนนำพันธมิตรหรือท่านจะเลือกยืนในบทบาทให้ท้ายพันธมิตรฯ
พวกเราอยากเห็นจุดยืน !!!