04 กันยายน 2552

กระชากหน้ากาก-ลากไส้ เอ็นจีโอ

คนที่อยู่ในวงการสื่อสารมวลชนจะรู้ดีว่า ข้อมูลที่แฉๆกันออกมาทั้งในประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคมนั้น บางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องความเก่งกาจสามารถ ถึงขนาดเป็น “นักข่าวหัวเห็ดสมองเพชร”หรือ “Investigated NEWS ตัวพ่อ” สักเท่าไหร่หรอก
แต่ความจริงข้อมูลที่แฉออกมานั้นมีต้นทางมาจากกลุ่มคนที่เสียประโยชน์แล้วเอามาแฉกันเสียมากกว่าโดยมีสื่อเป็นเครื่องมือ
ประโยชน์ประการหนึ่งที่ได้จากการแฉไปมานี่ก็คือ ความจริง ว่า โลกนี้มีสองด้านเสมอ ประมาณ “หยิน-หยาง” “สูง-ต่ำ” 11 ไฮโลว์ไปนู่น...
วันนี้ “สำนักข่าวใต้ดิน” ไม่ต้องเปลืองแรงเขียนมากเอาแค่เป็นเวทีรวมรวบข้อมูลที่คนกันเองออกมาแฉกันเอง ในประเด็น “เอ็นจีโอ”ก็มันส์พะยะค่ะแล้ว..
เนื้อหาเบื้องแรกเป็นการชี้แจงของคนในวงการเอ็นจีโอเผยแพร่ในเวปตามลิงค์ เพื่อหวังให้คนเข้าใจเอ็นจีโอในแง่บวก ลองพิจารณา

http://www.thaingo.org/story/book_038.htm

10 คำถาม - คำตอบ จากใจเอ็นจีโอ
มีคำถาม ที่เกี่ยวข้องกับเอ็นจีโอมากมาย ที่สาธารณชนต้องการใคร่รู้ และวันนี้แกนนำเอ็นจีโอ ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำงานด้าน NGO มา 15 ปี ทั้งในภาคเมืองและภาคชนบท สรุปเป็นคำถามและคำตอบอย่างน่าสนใจดังนี
1. NGOs รับเงินต่างชาติ จริงหรือไม่ ? ตอบ เรื่องนี้จริง มีหลายองค์กรที่ได้ทุนสนับสนุนจาก ต่างประเทศ ส่วนใหญ่ จะเป็น ฝั่งอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น หรือ ออสเตรเลีย โดยเงินเหล่านี้ มีทั้งที่เป็นของรัฐบาลแต่ละประเทศ เช่น USAID Canadafund AUSAID DANCED และสถานฑูตของแต่ละประเทศ ฯลฯ นอกจากนั้น ก็ยังรับเงินจากภาคเอกชน เช่น มูลนิธิ และ บริษัทต่าง ๆ เช่น มูลนิธิฟอร์ด ร๊อคกี้เฟลเลอร์ World Vision อย่างบริษัทธุรกิจใหญ่ๆ ที่เรารู้จักเป็นบริษัทระดับโลก ล้วนแล้วมีมูลนิธิ หรือ มีกองทุนในการพัฒนาสังคมทั้งสิ้น เช่น NOKIA ลูเซ่น Microsoft นี่ยังไม่รวมพวกองค์กรภายใต้ UN ทั้งหลาย เช่น UNAIDS UNCEF UNESCO ILO
2. NGOs ไทย นอกจากรับเงินต่างชาติ แล้ว ยังรับเงินใครอีก ? ตอบ รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลไทย เช่น กองทุนสิ่งแวดล้อม งานด้านสาธารณสุขก็ได้ทุนจากกระทรวงสาธารณสุข รวมถึง กองโลกเอดส์ กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานกองทุนวิจัยแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมสุขภาพ สำนักงานสลากออมสิน ป.ป.ส. นอกจากนั้น NGOs ในเมืองไทยหลายแห่ง ได้รับการบริจาคจาก บริษัทในประเทศ นับไม่ถ้วน รวมถึงเงินบริจาค จากประชาชนทั่วไป หรือบางแห่ง มีรายได้จากการดำเนินกิจกรรม หรือ ขายของที่ระลึก รวมถึง เงินดอกเบี้ยที่ฝากธนาคาร แล้วนำเงินปันผลมาดำเนินการ
3. รับเงินต่างชาติ หมายถึง ขายชาติหรือ ? ตอบ ไม่มีใครสรุปอะไรแคบ ๆ แบบนั้นแน่นอน หาก การสนับสนุนเงินเหล่านั้น นำไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อชุมชน สังคม ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ย่อมไม่มีใครกล่าวได้ว่า การกระทำนั้น เป็นการ ทำลายชาติ หรือ ขายชาติ เพราะแม้แต่รัฐบาลไทย ก็ยังรับเงินจากองค์กรแหล่งเดียวกันกับ NGOs ไทย มา ดำเนินโครงการในประเทศมากมาย ไม่ว่าจะ WHO ในยุคแรกที่มาแก้ปัญหาเรื่องโรคเอดส์ DENCED ใน ด้านสิ่งแวดล้อม และ อีกมากมาย ปีหนึ่งเป็นพันล้านบาท
4. NGOs คือใคร ? ตอบ เป็นที่น่าสนใจไม่น้อย ที่ได้ยิน ได้อ่าน ได้เห็น ตัวหนังสือ ที่เขียนถึง กลุ่ม NGOs มานับครั้งไม่ถ้วน แต่น้อยครั้ง ที่จะมีการระบุลงไปว่า NGOs นั้นคือใคร แล้วมีที่มาอย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นทางนิเทศศาสตร์ที่การรับรู้ของประชาชนผ่านสื่อในเชิงปริมาณ แต่เหตุใด ประชาชนผู้รับสื่อถึงยังไม่รู้จัก NGOs เสียที และหลายครั้ง ที่มีความสับสนระหว่าง NGOs ( Non Government Organization ) กับ POs (people organization) และการที่ไม่เข้าใจที่มาที่ไป และ เป็นอยู่ขององค์กรเหล่านี้ จึงเป็นเหตุ ให้ความเข้าใจหลังจากนั้นทั้งหมด มีความคลาดเคลื่อนไปอย่างมากมาย NGOs คือ องค์กรพัฒนาสาธารณกุศล ที่ทำงานในด้านต่าง ๆ มีทั้งทำงานกับผู้ด้อยโอกาส ต่าง ๆ เช่น เด็กเร่ร่อน พิการ เอดส์ คนชรา ผู้หญิง ที่ถูกใช้ความรุนแรง แรงงานต่างด้าว ชนกลุ่มน้อย ฯลฯ หรือบ้างก็ทำงานตามประเด็นต่างๆ เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อม ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน หรือบ้างก็ทำงานชุมชน ติดพื้นที่ อย่างเช่น องค์กรในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ที่มีลักษณะทำงานทั้ง งาน สังคมสงเคราะห์ และ งานพัฒนา รวมถึง งานด้านการศึกษา และยกระดับองค์กรชุมชน คนทำงานส่วน ใหญ่ได้รับเงินเดือน แต่บางคนก็ทำงานในลักษณะอาสาสมัคร ไม่มีค่าตอบแทน
5. ทำไม NGOs ต้องต่อต้านการพัฒนา ? ตอบ ไม่คิดว่า NGOs ต่อต้านการพัฒนา แต่ส่วนใหญ่ มองเห็นอีกด้านของการพัฒนา ซึ่งมันก็คือ อีกด้านหนึ่งของเหรียญ โดยเฉพาะการลงไปช่วยเหลือให้ชุมชนสามารถมีพื้นที่ของตนเอง ในการบอก เล่า ผลกระทบของการพัฒนาต่าง ๆ ซึ่งนักพัฒนาภาครัฐ อาจมองไม่เห็น หรือ ไม่ได้บอกเรื่องราวเหล่านั้นต่อสาธารณะ ดังนั้น เพื่อที่สังคมจะได้มองเห็นการพัฒนาจากเหรียญทั้งสองด้าน NGO บางองค์กร จึงทำหน้าที่นี้ ส่วนโครงการใด ที่มองเห็นในแนวทางสอด คล้องกัน ก็จะมีความร่วมไม้ร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย ในความเป็นจริง มีการทำงานร่วมกันเป็นอย่างดีระหว่าง GOs ( Government Organization) กับ NGOs ( Non Government Organization ) ซึ่ง มีอยู่มากมาย เต็มประเทศ เพียงแต่ว่า เรื่องแบบนี้ ไม่เป็นข่าวให้สาธารณะรู้จัก
6. ม็อบรับจ้าง ? ตอบ หากหมายถึง กลุ่มพลังมวลชนที่ออกมาเคลื่อน ไหวอย่างต่อเนื่อง เช่น ปากมูล สมัชชาคนจน ท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ไม่เชื่อว่า เป็นจริงตามข้อกล่าวหา เชื่อว่า องค์กรประชาชน POs เหล่านี้ เคลื่อนไหวโดยไม่รับสิ่งตอบแทน หรือ ว่าจ้างมา ดูอย่างกรณี ชาวบ้านปากมูลที่เข้าพบนายกทักษิณ หากรับจ้างมาวันละ 150 บาท หรือ กี่ร้อยกี่พัน ตามที่คนกล่าว หากัน ชาวบ้านเหล่านั้น จะเอาความรู้ที่ไหน ไปยันข้อมูลกับฝ่ายราชการ แบบเอาเป็นเอาตายได้ขนาดนั้น แล้วเหตุใด หน่วยสันติบาล ถึงไม่สามารถกระชากหน้ากากจอมปลอมเหล่านั้นมาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ก็เพราะว่า ปัญหาที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐมีจริง
7. NGOs ยุยงชาวบ้าน ให้แข็งขืนต่อรัฐ ? ตอบ 50 : 50 แล้วแต่ตีความ หากการช่วยให้ชาวบ้าน รู้ถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญ หลักสิทธิมนุษยชน อันเป็น สากล และ ความเป็นธรรม คือ การยุยงชาวบ้าน ให้แข็งขืนแล้วล่ะก้อ ก็เป็นอย่างที่หลายคนเข้าใจ และนอกจากนั้น NGOs ยังทำหน้าที่สอนชาวบ้านในการจัดการข้อมูล รวบรวม สำรวจ ทำวิจัย และ วางกลยุทธในการต่อสู้ และประสานกับองค์กร ต่างๆ เพื่อผนึกกำลังในการสนับสนุนชาวบ้าน ส่วนการตัดสินใจ ในการเคลื่อนไหว กลุ่มชาวบ้าน POs เป็นคนตัดสินใจและรับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้น ๆ แต่แน่นอน ทุกการตัดสินใจของชาวบ้าน จะมี NGOs ยืนอยุ่เคียงข้างเสมอ ไม่ใช่อยู่เบื้องหลัง
8. การใช้ความรุนแรง ตอบ การต่อสู้ของภาคประชาชน ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรุนแรง แต่เรื่องต้น ด้วยการสื่อสาร การแสดง ออก ถึงปัญหาของตนเอง นับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อปัญหาไม่ได้รับการตอบสนอง และหลายครั้งถูกหลอกให้กลับบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเหตุให้ ความพยายาม และ ศรัทธาต่อรูปแบบการเจรจาต่างๆ ลดน้อยลง รวมถึง ลักษณะปัญหาที่ยาวนาน ทำให้สื่อมวลชนนิ่งเฉยต่อการเสนอ ข่าว ดังนั้น กลุ่มชาวบ้าน จึงคิดค้นกระบวนการทาง กลยุทธ ไม่ว่าจะปืนกำแพงทำเนียบ ยิงธนูส่งจดหมาย หรือ เอาขี้โคลนปาใส่ เป็นการเรียกร้องความสนใจ แต่นั่น ไม่ได้มีเหตุผลในด้านความรุนแรง และหากจะมีความรุนแรงใด ๆ แน่นอนว่า ความรุนแรงนั้น เกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ไม่ใช่มีเพียงประชาชนเป็นผู้กระทำให้เกิด ดั่งกรณีล่าสุด ที่ชาวบ้านพักทานอาหาร อยู่ห่างจากจุดโรงแรมที่จะมีการประชุม ครม.สัญจร แล้วก็โดนกำลังเข้าล้อมปราบ ซึ่งหากคุณเป็นชาวบ้านที่เดินทางมาเพื่อเรียกร้องความเป็น ธรรม แล้วกำลังพักทานข้าวกลางถนนอยู่ มีคนเอาเท้า และ ไม้มาไล่ตีคุณ พ่อแม่คุณ แน่นอนว่า มันยากที่จะทำให้คุณอยู่เฉย ๆ โดยไม่ตอบโต้ และการ ปะทะกันก็เกิดขึ้น อย่างที่เห็น
9. NGOs บางกลุ่มทำให้เสื่อมเสีย ? ตอบ มีคนพยายามจะแยก NGOs น้ำดี กับ NGOs น้ำเน่า ออกจากการ โดยสรุปเอาง่าย ๆ ว่า NGOs ที่ทำงานช่วยเหลือเด็ก ช่วยเหลือคนด้อยโอกาส เป็น พวกน้ำดี และ พวกที่ทำงานอยู่กับกลุ่มพลังมวลชน เป็นพวกน้ำเน่า จึงไม่เห็นด้วยกับกรอบคิดนี้ และเชื่ออย่างบริสุทธิใจว่า NGOs เหล่านั้น มีความตั้งใจดี และ ทำงานที่ยาก และจะต้องต่อสู้กับทัศนะคติ และ แรงเสียดทานทางสังคมมากน้อยเพียงใด ส่วนกลวิธีในการต่อสู้ และ การต่อรองกับฝ่ายรัฐ จะมีทางอื่นอีกมากน้อยเพียงใด แต่ก็หวังว่า เวลา และ ความจริงใจ จากทุกฝ่าย จะทำให้ทุกอย่างค่อย ๆ ดีขึ้น รวมถึง อดีต NGO ที่เข้าไปร่วมงานกับรัฐบาลชุดนี้ คงมีความพยายามเพียงพอ ที่จะประสานทุกฝ่าย และ ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ แต่แน่นอน การแก้ปัญหา ต้องเอาขวานสับลงไปที่รากของปัญหา หากรัฐบาลปฏิรูปราชการได้ขนาดนี้ ก็ต้องสามารถตัดโคลนรากของปัญหา ที่อยุติธรรมมาหลายยุค หลายสมัย โดยยอมรับสิทธิชุมชนเข้ามาเป็นปัจจัยของการดำเนินนโยบายรัฐ
10. NGOs ควรทำอย่างไร ? ตอบ เจตนารมณ์ ของ NGOs ยังคงควรดำรงต่อไป ส่วนเสียงสะท้อน ขอให้ฟังให้มาก คนชั้นกลางเขาพูด เขาเชื่อเช่นนั้น ก็เพราะว่า เขารับรู้เช่นนั้น อย่าไปด่า หรือ น้อยใจเขาเลย มีโอกาส ก็ค่อย ๆ สื่อกันไป ใจ เย็นๆ อย่าทำลายมวลชน ที่อาจเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ ในวันหนึ่ง เพราะไม่ว่า NGOs หรือ GOs หรือ ประ ชาชนทั่วไป ก็ล้วนแล้ว อยากเห็นประเทศชาติดีทั้งนั้น เพียงแต่มองและเข้าใจปัญหาและสถานการณ์แตกต่างกันไป
สรุปแล้วบทบาทและหน้าที่ของเอ็นจีโอแท้จริงก็คือ ควรทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อประโยชน์สุขของสังคมส่วนรวมมากกว่าทำลายสังคม ทำให้สังคมแตกแยกและหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง...!!!
ผู้จัดการออนไลน์ วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2546
/////

กระชากหน้ากาก-ลากไส้เอ็นจีโอ

ส่วนเนื้อหาตอบโต้อันนี้มาจากกลุ่มคนที่ต่อต้าน “ขั้วอำนาจใหม่" ส่วนจะเป็นแกนนำ “แดงล้มเจ้า” หรือ “แดงสามเกลอ” เขียน อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ กระชากไส้ทุกขดของเอ็นจีโอออกมาแบบ “รู้จริง-รู้ลึก”

http://thaienews.blogspot.com/2009/08/1-ngo.html

ขึ้นชื่อว่าเมืองไทย วงการไหนแม่งก็เหมือนๆกันแหละครับ คือเต็มไปด้วยเส้นสายอุปถัมภ์ มีขาใหญ่ มีพี่กลาง น้องเล็ก น้องใหม่ เป็นกันทุกที่ เอ็นโตดี-NGOก็เหมือนกัน
ผู้ให้กำเนิดNGO-ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้ให้กำเนิดNGOในไทยเป็นครั้งแรกราวพ.ศ.2512 ในภาพนำลูกศิษย์ลงจากหอคอยงาช้างไปย่ำโคลนเพื่อพัฒนาชนบทที่ชัยนาท แต่NGOทุกวันนี้ผิดเพี้ยนไปจาก ณ เริ่มแรกอย่างสุดจะคาดคิดถึง คือจากจุดเริ่มที่เห็นศักยภาพคนเล็กคนน้อยคนยากคนจน กลายเป็นอำมาตย์ขุนนางตัวใหม่ที่หมิ่นแคลนรากหญ้าขึ้นมา
วงการเอ็นโตดีนี่หากพูดให้เห็นภาพก็เหมือนองค์กรทั่วๆไป คือก็จะมีขาใหญ่วงการอยู่ประมาณหนึ่งมีตัวที่เรียกว่าระดับแถวต้นๆให้กราบไหว้กันนี่ส่วนหนึ่งรองลงไปก็จะเป็นพวกตัววิ่ง ตัวชง ตัวประสานรองลงไปก็จะเป็นแบ่งโซน แบ่งสาย มีหัวหน้าสาย หัวหน้าโซนเล็กลงไปก็เป็นองค์กรหน่วยงานตามพื้นที่ หรือตามสายงานเล็กสุดก็ผู้ปฏิบัติงานสนามปลายทางก็คือกลุ่มเป้าหมาย อาจจะเป็นชุมชนคนรากหญ้า หมู่บ้าน พื้นที่ เขตงาน หรือตามเนื้องานเขียนมาตั้งยาวไม่เห็นแม่งจะมันส์ตรงไหนใจเย็นๆอันนี้เรียกว่าปูพื้นก่อนแต่งหน้าศพ...เดี๋ยวศพไม่สวย จะเสียมือผมหากไม่เข้าใจยังงี้ก็จะไปต่อไม่ถูกว่า เฮ้ย!ทำไมเอ็นโตดีแม่งมาอยู่พันธมิตรเต็ม ทำงานเพื่อมวลชนเหี้ยอะไรหละพวกมึง เสือกมาเชียร์แขกให้พวกรัฐประหาร สันดานมั้ยหละดันมาเชียร์เจ้า...คือมันหลักๆก็มาจากขาใหญ่ที่ต้องกราบกรานที่คุณถามมานี่แหละตัวอัปรีย์เลยทีนี้ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าจะGO-Government Organizationหรือองค์กรรัฐ หรือ NGO-Non Government Oganizationนี่ กองทัพมันเดินด้วยท้องทั้งนั้นของรัฐก็ง่ายหน่อยคือเก็บภาษีชาวบ้านมาเป็นเงินทำงาน หล่อเลี้ยง จ่ายเงินเดือนส่วนเอ็นโตดีไปเก็บภาษีก็ไม่ได้ เก็บค่าคุ้มครองก็ไม่ได้ มันก็ต้องขอทุนเขาสมัยโบราณก็ขอฝรั่ง พวกองค์กรการศาสนา องค์การสาธารณกุศล แม้กระทั่งเศรษฐีหลบภาษีมาจ่ายให้การกุศลอย่างพวกบิลเกตส์ โซรอส วอร์เรน บัฟเฟต รอคกี้เฟลเลอร์ สารพัดNGOนี่ผู้ให้กำเนิดคือดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เริ่มราวปี2512จนแกได้รางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะเลยทีเดียว ลูกศิษย์ลูกหาแกรุ่นแรกก็ยังวนว่ายอยู่ในวงการหลายคน เป็นใหญ่เป็นโตในวงการไปหมด อย่างพวกบำรุง บุญปัญญา เป็นเจ้าพ่อเอ็นจีโออีสาน,พิศิษฐ์ ชาญเสนาะ เจ้าพ่อเอ็นจีโอปักษ์ใต้,เตือนใจ ดีเทศน์ เจ้าแม่เอ็นจีโอทางเหนือ ต่อมาได้เป็นสว.,บุญเรือง สุขสวัสดิ์ ที่ยังตรึงพื้นที่ภาคกลางไว้แถวชัยนาท จุดเริ่มต้นที่ดร.ป๋วยก่อไว้ เป็นต้นNGOมารุ่งเรืองมากก็ยุคเขมรอพยพ ได้เงินฝรั่งมาทำงานกันคึกคักทางอีสานใต้ พอดีป่าแตก พรรคคอมฯล้ม ก็ได้พวกป่าแตกเข้ามาร่วมขบวนเป็นคนNGOยุคนี้กันมาก อย่างพวกมด วนิดา ตันติพิทักษ์ ณ เขื่อนปากมูลที่ตายไปแล้ว หรือกวิน ชุติมา ภูมิธรรม เวชยชัย อะไรยังงี้ งานก็ขยายตัวไปทั่วประเทศยังกับอะมีบ้าหน้าร้อนแต่ต่อมาก็ค่อยถูกลดการสนับสนุนเงินทุนลง เพราะฝรั่งมันมองว่าเมืองไทยรวยแล้ว เอ็นจีโอแทบจะตกงานก็พอดีมาได้อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯพระราชทานภาคสองมั้ง ก็ให้เงินช่วยเอ็นจีโอมาทำงานเป็นเรื่องเป็นราว ก็อย่างว่านะคนให้กับคนรับมันก็มีบุญคุณพันผูกกันมายังงี้
#ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เป็นตัวอย่างของ"คนดี"แบบจารีต ในฐานะศิษย์ของป๋วยเขามองว่าป๋วยนั้นเป็นคนดี แต่คนแบบพลเอกเปรมก็เป็นคนดีด้วย และพลเอกสุรยุทธ์ก็เป็นคนดี อานันท์ก็เป็นคนดี ที่ไพบูลย์เน้นคือให้คนดีมี"คุณธรรม" แต่คนแบบไพบูลย์จะไม่ตั้งคำถามต่อระบบโครงสร้างที่เป็นอยู่ว่า"ดีหรือไม่ดี"สำหรับพลเมือง
พวกเอ็นโตดีจะขอตังค์เขามาทำทุนทำงาน จะไปชื่อนายหมานายกานายไก่ แหล่งทุนมันก็ไม่เชื่อใจ ไม่รู้พวกมึงเป็นใคร ก็ตามสูตรก็ต้องวิ่งหาผู้ใหญ่ในวงการมาเป็นพระประธาน เป็นกรรมการกันตามระเบียบ
#ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว เป็นมาสเตอร์มายด์ที่คนในแวดวงการแพทย์เคารพ เคยเชียร์ทักษิณเป็นอัศวินควายดำ แต่ตอนหลังเปลี่ยน ทำให้แวดวงการแพทย์หันมารุมสกรัมทักษิณ-เสื้อแดง
ก็จะเห็นว่าคนอย่างอาจารย์หมอเสม จารย์หมอประเวศ จารย์เหน่ห์ จารย์สุลักษณ์ โสภณ สุภาพงษ์ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม คุณหญิงอัมพร มีศุข คุณหญิงสุมาลี จาติกวนิช อะไรทำนองนี้ไปนั่งเป็นกรรมการกันเป็นหลัก เพราะพะยี่ห้ออย่างนี้สะดวกโล่ง ส่งไปขอทุนฝรั่งมันรู้จัก ต้นทุนทางสังคมสูง ส่งไปขอเงินหลวงเขาก็เกรงใจก็ให้เงินมาทำทุนความจริงคนเหล่านี้เป็นคนดี ไม่ใช่คนเหี้ยที่ไหน ปรารถนาดีกับบ้านเมือง แต่ก็อย่างว่าคือเป็นคนดีตามจารีตแบบแผนซะเป็นส่วนใหญ่
#ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นมาสเตอร์มายของวงการปัญญาชน,นักวิชาการ,เอ็นจีโอเชื่อมต่อพันธมิตรเข้ากับขบวนการอำมาตย์ชนชั้นนำ
ผมเคยไปนั่งคุยกับจารย์หมอประเวศอยู่หลายหน สรุปคือแกเป็นคนดีหนะแหละ หากหลับตาซักหน่อยแล้วฟังจารย์หมอประเวศพูดไป ก็ต้องนึกว่ากำลังนั่งสนทนาธรรมกับหลวงตาแก่ๆองค์หนึ่งหละวะคนอย่างจารย์หมอประเวศนี่แกก็เป็นคนดีตามแบบแผน เรียนเก่งหัวดีสอบเข้าหมอได้ เก่งเรื่องเลือด ได้แมกไซไซมา แกก็อยากช่วยบ้านเมือง แต่ก็ต้องเป็นบ้านเมืองที่แกเห็นว่าดี คือในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่บังเอิญแกมองไปนี่นักการเมืองดันเหี้ยหมดในสายตาแก แกก็บอกกับผมทำนองว่า เอาให้ดีแล้วจารย์หมอว่ายกบ้านเมืองกลับไปให้พระเจ้าอยู่หัวท่านดูแลจัดการดีกว่านะคุณโยม...อ้าว!ชิบหายผมก็ขัดคอว่า อ่าคือว่าจารย์หมอครับ หากให้บ้านเมืองกลับไปให้ในหลวงจัดการก็ดีหรอกครับ เพราะในหลวงองค์นี้ท่านดีเลิศ แต่หากต่อไปเกิดไม่ดีงี้ไม่แย่เหรอ จารย์หมอแกก็ว่า เอาน่าอย่าเถียงดิ แต่ก่อนบางองค์ก็ไม่ดี อย่างสมัยร.6คนก็นินทา แต่ว่าสถาบันก็รอดมาได้ เราต้องไว้วางใจสถาบันว่าจะพาบ้านเมืองไปได้ตลอดรอดฝั่ง
#ศ.เสน่ห์ จามริก ผู้มีบารมีทั้งวงการสิทธิมนุษยชน,วงวิชาการ,เอ็นจีโอผู้เชื่อมต่อกับอำมาตย์และวงวิชาการ-เอ็นจีโอ
สมัยเหลี่ยมมาเป็นนายกฯใหม่ๆ พวกจารย์หมอประเวศ จารย์หมอเสมอะไรนี่ก็เห็นว่าเหลี่ยมเป็นความหวัง เพราะเป็นเศรษฐีมาทำงานให้คนจน คงจะได้คนดีแบบพระเวสสันดรนี่มาดูแลบ้านเมือง..แต่เอาไปเอามาก็เห็นๆกันว่าเหลี่ยมไม่ใช่พระเวสสันดรที่จะเป็นพระเอกให้อาจารย์หมอของผม แถมโดนเหลี่ยมด่าอีกว่า จารย์หมอเป็นแผ่นเสียงตกร่องมั่ง เป็นนายหน้าค้าความจนมั่ง ต่อไปนี้รัฐบาลเหลี่ยมจะทำงานถึงลูกถึงคนกับคนจนเอง ไม่ต้องผ่านนายหน้าแบบอานันท์จารย์หมอแกก็ปรี๊ดแตก จากแรกๆเชียร์ แล้วแกก็ค่อยๆผิดหวัง สะสมเชิงปริมาณไปสู่คุณภาพ เอาไปเอามาก็นี่แหละนายกฯมาตรา7ก็มาจากแกนี่แหละเรื่องของเรื่อง
#ส.ศิวรักษ์ เป็นมาสเตอร์มายด์ของวงการเอ็นจีโอ-นักสิทธิมนุษยชนที่เชื่อมเอ็นจีโอเข้ากับแวดวงปัญญาชนระดับสูงอย่างหมอประเวศ,เสน่ห์ จามริก และเชื่อมต่อNGOต่างประเทศให้หนุนช่วยพันมิตร
หรือคนอย่างป๋าส. หรือจารย์สุลักษณ์นี่ถึงใครจะมองว่าแกเป็นคนนอกคอกซักหน่อย ไม่ค่อยเป็นคนดีตามจารีต เพราะปากเสียด่าพระด่าเจ้าไปเรื่อย แต่แกมีอีโก้ชนิดหนึ่งว่าแกแน่ แกนี่ได้รางวัลประมาณว่าน้องๆโนเบลมาแล้ว แกก็โน่นทำตัวกลมกลืนเป็นโนเบลแฟนคลับกับทะไลลามะ กับอองซานซูจีไปตามเรื่องทีนี้แกมาโดนคดีต่อต้านท่อก๊าซพม่าสมัยรัฐบาลนายชวน ตั้งแต่ปี2541 คดีก็ลากยาวมาเรื่อยจนรัฐบาลเหลี่ยม คดีนี้เริ่มมาจากว่า ทางรัฐบาลไทยจะซื้อก๊าซพม่า แล้วจะลากท่อก๊าซผ่านป่าเมืองกาญจน์เข้ามา แกก็มีลูกศิษย์เอกคือน้าเปี๊ยก-พิภพ ธงชัย อยู่หมู่บ้านเด็กเมืองกาญจน์ก็ลากแกไปดู เสร็จแกก็อินจัด หรือหวังฟลุคได้โนเบลมั้ง แกก็ไปลุยขวางการวางท่อ เขาก็จับแกไปขังคุก แกก็ตามสไตล์ผู้ใหญ่แบบไทยๆคือเบ่ง เพราะแกเบ่งมามาก ขนาดคดีหมิ่นฯว่าหนักๆแกก็เบ่งรอดคุกมา2หน
#พิภพ ธงชัย สาวกรุ่นแรกๆของส.ศิวรักษ์ ผู้เชื่อมต่อขบวนการเอ็นจีโอเข้าร่วมรบกับพันธมิตร และเปลี่ยนจุดยืนมาหมิ่นแคลนรากหญ้า
คราวนี้ดันไปเบ่งกับเหลี่ยม เหลี่ยมมันบอกเรื่องของเมิง เรื่องของกรุคือต้องซื้อก๊าซพม่ามาพัฒนาประเทศ ส่วนป๋าส.แกประเภทต่อต้านทุนนิยม ต่อต้านโลกาภิวัตน์ แกก็มองว่าไอ่เหลี่ยมเอาใจเผด็จการพม่า รังแกพวกซูจี ไปปลอ่ยกู้พม่าห่าเหว ผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรแบบนี้แต่ที่ป๋าส.แกเคืองแม้วหนักนี่คงเป็นอีกเรื่องที่หนักกว่าคือคดีหมิ่นฯ ที่แกไปพูดที่ขอนแก่นแล้วโดนตำรวจตามมาเล่นในทีหลัง แกเข้าใจว่าทักษิณสั่งเล่นแก หลังจากไปขึ้นเวทีพันมิตรก็คงต่อเนื่องมายังงี้คือโดนคดีท่อก๊าซสมัยชวนตั้งแต่ปี41ผ่านมายุคทักษิณไปขอก็ไม่มีน้ำใจช่วย แกก็ขึ้นเวทีพันธมิตรด่า ต่อมาทักษิณไปเล่นงานแกคดีหมิ่น ก็ยิ่งแค้นตาแม้น แกก็อยากเอาคืนเหลี่ยมซะให้เข็ดเรื่องต่อต้านทุนนิยมนี่ผมเจอกับตา ตอนผมไปกินข้าวบ้านแก ลูกชายแกต้องหนีไปดูทีวีข้างบ้าน เพราะบ้านแกดันไม่มีทีวี เพราะไม่อยากโดนมอมเมา วันหนึ่งผมก็นั่งรถไปกับแกแล้วก็เมีย ไปงานศพอาจารย์ทวี หมื่นนิกร ผมก็ฟอร์มหลับ เมียแกก็ด่าแกชิบหายเลยเรื่องทีวีนี่นะ...ไม่รุ้แกจะเอาฮาไปถึงไหนเนี่ย ผมลองเล่าแค่สายเดียวนี่นะก็พอจะเห็นภาพใช่มั๊ย อย่างมูลนิธิหมู่บ้านเด็กเนี่ยก็จะมีงี้แหละ หมอเสม หมอประเวศ โสภณ สุภาพงษ์ ป๋าส.อะไรงี้เป็นกรรมการ คนบริหารก็น้าเปี๊ยกธงชัยกับเมีย แล้วก็มีสันติสุข โสภณศิริ ลูกศิษย์ป๋าส.อีกราย(ที่รสนาเคยซุกเข้าไปห้องประชุมสภา นเป็นเรื่องกันนั่นไง)คอยเขียนเชียร์...พวกรสนาอะไรนี่ก็ลูกศิษย์ป่าส.แก แกส่งไปคุมมูลนิธิโกมล คีมทอง ก็ออกหนังสือขายมั่งอะไรมั่ง เล่นประเด็นสุขภาพมั่ง เคยจับรักเกียรติ สุขธนะติดคุกคดีทุจริตยา รสนาก็ยิ่งปักใจว่านักการเมืองนี่แม่งเหี้ยสัดๆ เดี่ยวจะเข้าสภามาลุยนักการเมือง
#รสนา โตสิตระกูล สาวกเอกฝ่ายหญิงของส.ศิวรักษ์ เป็นนางสาวโดยที่มีเพื่อนร่วมเตียงคือสันติสุข โสภณศิริ สาวกเอกฝ่ายชายของส.
เดิมทีเอ็นจีโอขาใหญ่ก็มีความหวังกับเหลี่ยมอย่างว่า คือคิดว่าหมอนี่จะเป็นพระเวสสันดรกลับชาติมาเกิด หลังๆออกลายเป็นพระเวสสันดาน มีconflict of interestหลายเรื่อง(พวกเสื้อแดงไม่ต้องเถียงนะ เพราะเสือกเป็นเรื่องจริง)แล้วก็ลุแก่อำนาจไปฆ่าตัดตอนพวกค้ายาบ้า(ตอนนั้นคงฟังในหลวงบ่นเรื่องยาเสพติดมาก แล้วไปกราบหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อก็ดันพูดเป็นทำนองว่า คนเหี้ยๆจะดีไปอะไรกับมันนักหนาไอ้แม้วเอ๊ย...เหลี่ยมก็เอาวะลุยถั่ว2,500ศพเกลื่อน)
#ภูมิธรรม เวชยชัย-เอ็นจีอ้วน อดีตฝ่ายซ้ายและเอ็นจีโอตัวเชื่อมประสานระหว่างเอ็นจีโอกับแม้ว ตอนหลังกลายเป็นประสานงา
สายสัมพันธ์เดิมที่หวังจะพึ่งเอ็นจีอ้วน-ภูมิธรรม เวชชยชัยก็ชักไม่ค่อยได้เรื่อง ส่งปัญหาเขื่อนปากมูลขึ้นไปก็เป็นหมัน ส่งปัญหาเรื่องชาวนาถูกไล่ที่บุกป่าสงวนขึ้นไปก็เงียบ ผลักดันเรื่องกฎหมายป่าชุมชนก็เฉยมีหนนึงผมก็ไปนั่งคุยกับเอ็นจีอ้วนที่กระทรวงคมนาคมว่า ทำไมอ้วนไม่ช่วยๆเค๊าหน่อยว๊า พรรคพวกกันทั้งนั้น เขาขอมาก็ไม่ได้เข้าพกเข้าห่อ เขาก็ช่วยชาวบ้านทั้งนั้น เอ็นจีอ้วนแม่งก็ส่ายหน้าบอกว่า พวกเอ็นจีโอแม่งไม่เข้าใจกรุเลย จะเร่งรัดเอาแต่ละเรื่องวันนี้วันพรุ่งทั้งนั้นไอ่สัด ไม่รู้เหรอว่าทุกเรื่องแม่งต้องออกเป็นกฎหมาย ต้องวิ่งล็อบบี้ส.ส.ตีนขวิด ต้องไปกราบข้าราชการปลัด อธิบดี บ่อยๆเข่ากรูก็ชักไปไม่เป็นเรื่องมันก็เป็นยังงี้คือพวกเอ็นจีโอก็เห็นว่าเหลี่ยมไม่ใช่พระเวสสันดร เอ็นจีอ้วนก็เปลี่ยนสีไปเป็นพวกรับใช้ทุน อาจารย์สุลักษณ์โดนจับแม่งก็ไม่ยอมดูดำดูดี เทียบไปแล้วสมัยนายกฯแต่งตั้งอย่างอานันท์ยังมีแก่ใจหาเงินมาช่วยเอ็นจีโอได้ทำงาน ติดคุกก็ให้ประกัน แถมมากราบขออภัยพวกขาใหญ่ก็เลิกเชียร์เหลี่ยม แล้วก็หันมาส่งซิกว่า
เฮ้ย!เล่นแม่งเลยพวกเรา

#อังคาร กัลยาณพงศ์ มาเวทีพันธมิตรทางสายส.ศิวรักษ์ ทั้งเขียนรูปเขียนบทกวีขายหาทุนให้พันธมิตร
พรรคพวกป๋าส.อย่างท่านอังคารนี่แกถือว่าเลือดสุพรรณ แกก็เอาด้วย ร่ายบทกวี เขียนรูปส่งไปประมูลเวทีพันธมิตร น้าเนาว์ก็เมาๆอยู่วงเดียวกับท่านอังคาร ก็เสด็จตามมาด้วย หลังๆท่านอังคารเสด็จไปนิพพานที่ไหนไม่รู้ เข้าใจว่าปลีกวิเวกกลับสวรรค์ เลยปล่อยน้าเนาว์กลายร่างเป็นมนุษย์อยู่แถวเวทีพันธมิตรมาจนป่านนี้...กรำ!น้าเปี๊ยกอยู่ป่าเมืองกาญจน์ หมู่บ้านเด็กมาเป็นชาติก็ต้องออกป่ามาเมือง ศิษย์จะแก้แค้นให้ท่านอาจารย์! แม่งยังกับหนังจีนกำลังภายใน
#บำรุง บุญปัญญา NGOผู้มีบารมีในอีสาน
ทีนี้ตอนประชุมเอ็นจีโอนัดสำคัญนัดหนึ่งซัก4-5ปีมานี่แหละ น้าเปี๊ยกก็มาเมากันกับเอ็นจีโอสายอีสาน ทางนั้นขาใหญ่ก็มีจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ น้าเปี๊ยก-บำรุง บุญปัญญา น้าโย-บำรุง คะโยธา น้าสมภพ บุนนาค น้าเดชา ผู้ประสานกป.อพช.ภาคอีสาน น้าอี๊ด-เสน่ห์ ชัยวงษ์(คนนี้ได้ทุนจากภูษณ อดัตผู้บริหารDTAC) จารย๋ผ่อง-สุนทรี เล่งอี้ จารย์เป๋ง-สมพันธ์ เตชะอธิก ทางเหนือก็พวกชัชวาลย์ ทางใต้ก็บรรจง นะแส นก-ภาคภูมิ อะไรงี้นะ พอเมากันได้ที่ก็สรุปกันตอนเมาๆนั่นแหละ(ผมก็เผอิญเมาอยู่ในวงเหมือนกัน คือผมมันแร่ด ก็รับเหมา เมาทั่วราชอาณาจักร)ว่า พวกเราจะพึ่งการเมืองแบบเก่าไม่ได้แล้ว มันต้องมีการเมืองใหม่
#บรรจง นะแส เอ็นจีโอห้าวเป้งจากปักษ์ใต้
ก็คิดตั้งแบบพรรคกรีนกันขึ้นมา คือไม่ต้องส่งส.ส.ลงสมัคร เวลาเลือกตั้งก็ขึ้นป้ายไปว่ามีนโยบายอะไร(อันนี้น้าวสันต์ สิทธิเขตต์เคยทำ ที่มีรูปแกหนวดเคราเฟิ้ม ผมเผ้าไม่หวี เป็นหัวหน้าห่าอะไรซักอย่างขึ้นป้ายทั่วกรุงเทพฯแบบกวนตีนพวกมึงเล่น)นี่ก็โมเดลหนึ่ง
#วสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินนักเขียนเจ้าของหนังสือ"ประทานโทษ!..เป็นเหี้ยอะไรครับ?"ผู้สร้างตำนานขึ้นคัตเอาต์หาเสียงโดยไม่ลงสมัครส.ส. เคยเป็นโมเดลที่เอ็นจีโอจะทำพรรคกรีน ก่อนกลายร่างมาเป็นพรรคการเมืองใหม่ในวันนี้
อีกโมเดลก็คิดกันว่าจะไปทำสัมพันธไมตรีกับใครให้มันมีพลัง ก็พอดีลิ้มมันแตกกับเหลี่ยมออกมาพอดี ดูลำหักลำโค่นก็น่าจะไหว...ลิ้มมีลูกน้องชื่อสำราญ รอดเพชร ตัวสำราญมีสายสัมพันธ์กับจารย์สมเกียรติอยู่ก็ต่อกันมา
#สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ผู้เชื่อมแวดวงเอ็นจีโอเข้ากับสนธิลิ้ม
จารย์สมเกียรติก็ลากพวกแกนๆของเอ็นโตดีสายอีสานเข้ามา น้าเปี๊ยกพิภพก็มา พระอาจารย์ของน้าเปี๊ยกอย่างป๋าส.ก็แห่มา พอป๋าส.ขาใหญ่ก็ยังมา พวกอาจารย์เหน่ห์ หมอเสม หมอประเวศอะไรงี้ก็มา
#โสภณ สุภาพงษ์ ผู้เชื่อมสัมพันธ์เอ็นจีโอกับบ้านสี่เสา เขาเป็นคนที่จริงจังกับคนยากจนคนด้อยโอกาสทางสังคมอย่างซีเรียสในเนื้อหา แต่โสภณจะเคยมองไหมว่า ระบบโครงสร้างสังคมการเมืองแบบที่เขาสนับสนุนนั่นเองคือที่มาของ"ปัญหา"!
โสภณ สุภาพงษ์ ที่เป็นลูกป๋า ป๋าเปรมเคยให้ไปทำบางจากมานานหลายปี ดันไม่ได้ต่อวีซ่ายุคทักษิณก็เชื่อมสายพวกนี้เสียบปลั๊กบ้านสี่เสาอีกที ก็เลยถึงยุคโชติช่วงชัชวาลย์ของเอ็นจีโอที่เข้าไปร่วมรบกับพันธมิตรเต็มลำขึ้นมา งานนี้เลยเกิดรายการผสมพันธุ์ข้ามสปีชีส์ระหว่างอำมาตย์เก่ากับขุนนางใหม่ขึ้นมา แต่ว่าไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์พลันบังเกิดแต่อย่างใดแต่เป็นอัปรีย์จังไรพลันอุบัติ เมื่อเหี้ยเอากับเหี้ย ตกลูกออกมาเป็นเหี้ยชื่อ"พรรคการเมียใหม่" ก็มีด้วยประการะฉะนี้ แล..ขากๆๆๆถุ๊ยยยยย์!!

////

http://thaienews.blogspot.com/2009/08/2.html

เนื่องจากว่ามีคนถามเรื่องเงินเดือนของNGO ผมเลยจะบอกว่า เงินไม่ได้เป็นปัจจัยผลักดัน หรือแรงดึงดูดใจของคนที่มาประกอบอาชีพนี้หรอกครับ น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายด้วยซ้ำเพื่อตอบคำถามนี้ผมเลยขอปูภาพรวมด้วยข้อเขียนของ"ใต้หล้า" ซึ่งที่น่าแปลกใจมากคือใต้หล้าได้เขียนบทความนี้ลงเผยแพร่ครั้งแรกในเวบปฏิกริยาล้าหลังอย่างเสรีไทยบอร์ดผมคิดว่าผมรู้จัก"ใต้หล้า"ดีว่าหมอนี่เป็นใคร? แต่เอาเถอะเห็นแก่ว่าเขียนบทความได้ภาษาสวยดี เลยจะเว้นโทษตายให้ซักคน ไม่ขอแฉว่ามันเคยมีกิ๊กเป็นแอร์สายการบินอาหรับเอมิเรตส์...อุ๊บส์!(NGOเหี้ยอะไรวะแดกของสูงเชียวนะสัดด)ข้างล่างนี่คืองานเขียนของใต้หล้า ผมก๊อปมาจากเสรีไทย000000000000000000000000000ยอยศการเมืองภาคประชาชน,นาฏกรรมบนลานกว้าง:ชีวายอมพลีให้มวลชนผู้ทุกข์ทน ขอยอมตนไม่ว่าจะตายกี่ครั้ง
องค์ที่1:สายธารของภาคประชาชน:ต้นธารปฏิรูปVSต้นธารการปฏิวัติ
หากเทียบกับสายน้ำใหญ่แล้ว ประเทศไทยย่อมเคลื่อนไหวในกระแสธารหลัก(Main stream)อันมั่งคั่งเด่นอุดมด้วยสภาพแห่งความเป็นอนุรักษ์นิยม+จารีตนิยม+อำนาจนิยม+บริโภคนิยมทว่าก็มีอีกสายที่ประดุจดั่ง"น้ำแยกสาย" เราเรียกมันว่า"สายธารทางเลือกของประชาชน" หรือที่เรียกขานกันทั่วไปว่า"ภาคประชาชน"ในบทความนี้ผมจะไม่กล่าวถึงสายธารหลักของสังคมไทย เนื่องจากกล่าวไว้ในบทความอื่นของบทความชุดนี้ไปแล้ว แต่จะเจาะจงลงไปที่สายธารของภาคประชาชน หรือจะเรียกสายธารกระแสทวน หรือสายธารทางเลือกก็ตามใจ และตามที่เป็นจริง(ดังจะกล่าวต่อไป)#ปรีดี พนมยงค์หลังการปฏิวัติ2475 ของคณะราษฎร์แล้ว ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำทางสติปัญญาของคณะฯต้องล้มเหลวในการปฏิวัติประชาชาติด้านเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง เมื่อต้องเผชิญแรงปฏิกิริยาต่อต้านการปฏิวัติจากพลังจารีตนิยมและอนุรักษ์นิยม+อำนาจนิยม เขาจำต้องกลายเป็นนักปฏิรูปสังคมด้วยข้อจำกัดดังกล่าวในระยะต่อมาภายหลังการถึงแก่การอสัญกรรมของแกนนำปฏิวัติ2475คือนายพันเอกพระยาทรงสุรเดช อย่างอนาถาในอินโดจีน ก็นับเป็นการขจัดเสี้ยนหนามสำคัญทางทหารของจอมพลป.ผู้เผด็จการ เหลือหอกข้างแคร่ก็เพียงผู้นำสายพลเรือนคือปรีดี พนมยงค์ ซึ่งต้องเผชิญข้อหาร้ายแรงที่สุดในคราวสวรรคต9มิถุนายน2489หลังรัฐประหาร8พ.ย.2490 ซึ่งพลิกผันชะตาจอมพลป.จากอาชญากรสงครามกลับสู่บัลลังก์นายกรัฐมนตรีนั้น... ความพยายามการรื้อฟื้นตำนานคณะราษฎร์ของปรีดีต้องประสบความล้มเหลวลงหลายครั้ง หลายคราว ทั้งกรณีกบฏวังหลวง พ.ศ.2492 ทั้งกรณีกบฏเสนาธิการในระยะถัดมา และกรณีกบฏแมนฮัตตันในปี2494 เป็นการปิดฉากของปรีดี พนมยงค์อย่างเบ็ดเสร็จ และเปิดศักราชใหม่ของเผด็จการเต็มคราบการกวาดล้างใหญ่ของฝ่ายเผด็จการหลายครั้งหลายระลอกเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดเนื้อของสานุศิษย์ปรีดี ทั้งกรณี4รัฐมนตรีอีสาน เตียง ศิริขันธ์ -จำลอง ดาวเรือง-ทองอินทร์ ภูริพัฒน์-ถวิล อุดล และกรณีนักหนังสือพิมพ์อารีย์ ลีวีระ ทั้งกรณีของการเหวี่ยงแหจับกบฏสันติภาพนำโดยกุหลาบ สายประดิษฐ์-ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ และบุตรชายการกวาดล้าง ดำเนินต่อไปอีกหลายระลอก กระทั่งการกวาดจับนักหนังสือพิมพ์ และปัญญาชนอย่างจิตร ภูมิศักดิ์ ,ทองใบ ทองปาวด์ ,รพีพร ,อุธรณ์ พลกุล เป็นอาทิหลังการอสัญกรรมของผู้เผด็จการสฤษดิ์ในปี2506 ความคลี่คลายขยายตัวของ"ภาคประชาชน"เหล่านี้ก็แยกสายธารอย่างเด่นชัดเป็นแม่น้ำ2สาย คือสายการปฏิวัติ อันเป็นสายกระธารกระแสทวนกับสายธารกระแสหลัก กับสายธารทางเลือก หรือเน้นการปฏิรูปทว่าทั้งสองสายล้วนมีต้นธารมาจากแหล่งเดียว ต้นน้ำนั้นชื่อปรีดี พนมยงค์...
องก์ที่2.ว่าด้วยสายธารกระแสทวน-สายธารการปฏิวัติของภาคประชาชนยุคเมื่อแรก
#สฤษดิ์ ธนะรัตน์ครูครอง จินดาวงศ์ แห่งสกลนคร ผู้สืบสายธารของเตียง ศิริขันธ์ (ขุนพลภูพานตำนานเสรีไทยสายอีสาน และMissionลับสหพันธรัฐอินโดจีน หรือหน้าตาคล้ายๆสหภาพยุโรปเวลานี้ สานุศิษย์ปรีดี)ถูกสฤษดิ์ยิงเป้าในพ.ศ.2506 ย่อมยังผลสะเทือนต่อไขแสง สุกใส นักการเมืองหนุ่มน้อยนครพนม ผู้ชมชื่นทั้งเตียงและครอง สะเทือนไปถึงเปลื้อง วรรณศรี แห่งสุรินทร์,แคล้ว นรปติ-ทองปักษ์ เพียงเกษ แห่งขอนแก่นการสังหารโหดทั้งนอกกฎหมายและในนามมาตรา 17 นอกจากผลักดันให้นักการเมืองหนุ่มภาคอีสานหันมาสมาทานลัทธิสังคมนิยมอันเป็นสถานการณ์สากลเวลานั้นที่มีให้เลือกคือประชาธิปไตยในนามเผด็จการที่อเมริกา ชี้ชัก กับผลสะเทือนของการปฏิวัติอินโดจีนของโฮจิมินห์ และขบวนประเทดลาว กับขบวนการรักชาติในกัมพูชา) ก็เป็นแรงผลักดันให้ปัญญาชนอย่างจิตร ภูมิศักดิ์-อัศนี พลจันทร(นายผี),อุดม ศรีสุวรรณ-(พ.เมืองชมพู) และพันโทโพยม จุลานนท์(ส.คำตัน) เดินทางสู่เขตป่าเขาร่วมทัพการต่อสู้กับพรรคการเมืองนอกกฎหมายอย่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)อีกบางส่วนเดินทางลี้ภัยในประเทศสังคมนิยมอย่างกุหลาบ สายประดิษฐ์(ศรีบูรพา) แม้กระทั่งปรีดีและครอบครัวต้นสายปลายธารของภาคประชาชนสายการปฏิวัติดำเนินสืบเนื่องมาสู่เจเนชั่นที่ 2 เมื่อไขแสง สุกใส เข้าไปมีการนำต่อผู้นำนักศึกษายุคก่อน14ตุลาฯอย่างธีรยุทธ์ บุญมี-เสกสรร ประเสริฐกุล-ธัญญา ชุณชฎาธาร-สมคาด สืบตระกูล-ประสาร มฤคพิทักษ์-พิรุณ ฉัตรวนิชกุล แม้กระทั่งไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ-ๆไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และฯลฯและ หลัง14ตุลา2516ก็ผลิตซ้ำอุดมการณ์ผ่านไปยังคนรุ่นเกรียงกมล เลาหไพโรจน์-คำนูณ สิทธิสมาน-พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ-หมอมิ้งพรหมินทร์,ภูมิธรรม เวชยชัย,สุธรรม แสงปทุม,สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล,ธงชัย วินิจกุล ,นักศึกษาแพทย์จาตุรนต์ ฉายแสง-จิ้นกรรมาชน-หงาคาราวาน-พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ-เสถียร จันทิมาธร และขบวนการนักศึกษาขนาดใหญ่พอสมควร กระทั่งขบวนการนักศึกษานั้นหันมาสมาทานในลัทธิสังคมนิยมอย่างลึกซึ้ง#6ตุลาคม2519จึงไม่น่าแปลกใจที่ว่าพอเกิดกรณี6ตุลาคม 2519แล้ว นักศึกษากว่า3,000คนได้เข้าร่วมกับพคท.จับอาวุธขึ้นสู้ในเขตป่าเขา ยกเว้นแต่สายที่นิยมการลุกฮือในเมือง อย่างสายของผิน บัวอ่อน(อันมีคำนูณเป็นแก่นแกนสายนี้)การปฏิวัติในเขตป่าเขาปิดฉากลงด้วยความขมขื่นพ่ายแพ้ของ"ภาคประชาชน"สายนี้ เมื่อเจเนเรชั่นนี้ต้องไปเกิดCultural gapกับเจเนเรชั่นแรกอย่างวิรัช อังคถาวร และหัวขบวนคอมมิวนิสต์นิยมจีน หรือใครต่อใครประการหนึ่งอีกประการหนึ่งสถานการณ์ในทางสากลพลิกผันอย่างรวดเร็ว จีนแตกคอกับโซเวียต และจีนเปิดฉากรุกรานเวียดนามในนามของสงครามสั่งสอน ลาวที่ให้ที่พักพิงกับพคท.ตัดสัมพันธ์กับพรรคไทย เพราะต้องเดินตามเวียดนาม ขณะที่พรรคไทยเดินตามจีน...วิทยุสปท. หรือ"วิทยุปักกิ่ง"(ทางการไทยเรียกยังงั้น)โดนปิดตัวลง และนั่นก็เป็นการสิ้นสุดตำนานภาคประชาชนในสายธารการปฏิวัติ
องก์ที่3.ว่าด้วยสายธารทางเลือก-สายธารการปฏิรูปของภาคประชาชนเมื่อแรก
ขณะ ที่การคลี่คลายขยายตัวของภาคประชาชนสายปฏิวัติดำเนินไปดังกล่าวข้างต้น อีกสายก็เริ่มแตกหน่ออ่อนเป็นภาคประชาชนที่เน้นการปฏิรูปสังคม น่าพิจารณาก็คือล้วนมีต้นสายจากปรีดี พนมยงค์
ผู้ให้กำเนิดNGO-ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้ให้กำเนิดNGOในไทยเป็นครั้งแรกราวพ.ศ.2512 ในภาพนำลูกศิษย์ลงจากหอคอยงาช้างไปย่ำโคลนเพื่อพัฒนาชนบทที่ชัยนาท แต่NGOทุกวันนี้ผิดเพี้ยนไปจาก ณ เริ่มแรกอย่างสุดจะคาดคิดถึง คือจากจุดเริ่มที่เห็นศักยภาพคนเล็กคนน้อยคนยากคนจน กลายเป็นอำมาตย์ขุนนางตัวใหม่ที่หมิ่นแคลนรากหญ้าขึ้นมา
ผู้นำการปฏิรูปย่อม เป็นนายเข้ม เย็นยิ่ง-ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตเสรีไทยสายอังกฤษ มิตรร่วมรบสหายศึกของ"รูธ"ปรีดีเมื่อครั้งสงครามโลก และกลายมาเป็นผู้ว่าการธนาคารชาติป๋วยนั้นไม่คิดจะถอนรากถอนโคน สังคมแบบรุนแรงดังสายปฏิวัติ ด้านหนึ่งเขาส่งนักเรียนทุนแบงก์ชาติไปเรียนยุโรปหรืออเมริกา แล้วกลับมามีหน้าตาแบบไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม-วิจิตร สุพินิจ +เอกกมล คีรีวัฒน์ แห่งแบงก์ชาติอีกสายหนึ่งป๋วยได้เปิดมูลนิธิบูรณะชนบทอันเป็นองค์การพัฒนาเอกชน(NGO)แห่งแรกๆ ของไทย และมีพื้นที่ปฏิบัติงานในเขตชัยนาทในปี2512 อันมีพิภพ ธงชัย,บำรุง บุญปัญญา(เปี๊ยก),บุญเรือง สุขสวัสดิ์ ,พิศิษฐ์ ชาญเสนาะ แห่งสมาคมหยาดฝน จังหวัดตรัง หรือครูแดง-เตือนใจ ดีเทศน์ เป็นอาทิขณะที่ครูประทีป อึ๊งทรงธรรม ก็เริ่มมูลนิธิดวงประทีป ในสลัมคลองเตย ในอีกหลายปีต่อมาด้านหนึ่งนักเรียนเก่าอังกฤษคือสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือส.ศิวรักษ์ ผู้ศรัทธาในปรีดีและป๋วย ก็สร้างตำนานผ้าม่วง หวนโหยหาภูมิปัญญาไทยในอดีตมาปฏิรูปสังคมไทยในยุคนั้น มีลูกศิษย์ลูกหามากหลาย และเข้าไปซึมแทรกเป็นนักกิจกรรมนักศึกษาสายปฏิรูป หรือสายพุทธอยู่หลายคน อาทิสุชาติ สวัสดิ์ศรี,(ต่อมาเป็น)พระไพศาล วิสาโล,ประชา หุตานุวัตร,สันติสุข โสภณศิริ,เทพศิริ สุขโสภา,วีระ สมบูรณ์,รสนา โตสิตระกูล เป็นอาทิขณะที่ในเขตป่าเขา พคท.ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและขนานใหญ่จากนักศึกษาฝ่ายซ้าย สายธารภาคประชาชนสายการปฏิวัติหลังเหตุการณ์6ตุลาฯ ในพื้นที่ชนบทอันซ้อนทับกันนั้นคนอย่างพิภพ ธงชัย-เตือนใจ ดีเทศน์-พิศิษฏ์ ชาญเสนาะ และโกมล คีมทอง แห่งสายธารการปฏิรูปก็กำลังเข้าสู่ชนบทในนามของการ?พัฒนา? ทว่าโชคร้ายที่โกมล คีมทอง ไม่ได้กลับมาจากพื้นที่สุราษฎร์ ว่ากันว่าเขาโดนภาคประชาชนสายการปฏิวัติสังหาร เพราะสงสัยเป็นจารชนของรัฐบาล...หลังเหตุการณ์6ตุลาฯ ขณะที่ภาคประชาชนสายการปฏิวัติขึ้นสู่กระแสสูง แต่กลับเป็นกระแสต่ำของภาคประชาชนสายการปฏิรูป เนื่องเพราะว่าป๋วยผู้นำการปฏิรูปต้องถูกให้ร้ายจากฝ่ายขวาว่าเขาเป็นผู้นำสายการปฏิวัติ และโดนเนรเทศในกรณี6ตุลาฯ ขณะที่บทบาทของส.ศิวรักษ์ก็เป็นไปในแวดวงจำกัดพอสมควรสายการปฏิรูปกลับสู่กระแสสูงอีกครั้งหลังเหตุการณ์"ป่าแตก"ในราวปี2524-2525 และถือเป็นการขึ้นสู่กระแสสูงอย่างต่อเนื่องของสายนี้ จนมาเป็นภาคประชาชนที่เราเห็นและรู้จักกันในทุกวันนี้
องก์ที่4.การคลี่คลายขยายตัวของสายธารกระแสทวน กับสายธารทางเลือก
4.1สายการปฏิวัติที่วิวัฒนาการเข้าสู่ทำเนียบไทยคู่ฟ้าหลัง"ป่าแตก"ในปี2525อย่างเด็ดขาด ภาคประชาชนสายกระแสทวนกลับสู่นาครด้วยสภาพของ"ชิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์"แบบ เสกสรรค์ บ้างก็ในสภาพของ"กรวดเม็ดร้าว-ใบไม้ที่หายไป"แบบจิระนันท์ พิตรปรีชา บ้างก็"นกสีแดง-ตำนานนกสีเหลือง"อย่างวัฒน์ วรรลยางกูล หรือ"แผ่นดินของเขา"แบบศิวะ รณชิต(สุวัฒน์ วรดิลก)ทุกคนกลับสู่สายธารกระแสหลักที่พวกเขาเคยเห็นเป็น"สังคมเก่า-สังคมทราม"ที่ต้องโค่นล้มเปลี่ยน แปลง ต้องมาเข้าห้องเรียน กลายเป็นดร.เสกสรรค์ กลายเป็นอาจารย์ธีรยุทธ กลายเป็นอาจารย์ดร.สมศักดิ์ เจียมฯ อาจารย์ดร.เกษียร ศ.ดร.ธงชัย กลายเป็นคนหนังสือพิมพ์แบบเสถียร จันทิมาธร มาออกเทปขายแบบหงาคาราวาน หรือ"ชีวิตฉันมีแต่หมานำ"แบบพงษ์เทพ กระโดนชำนาญอีกส่วนหนึ่งก็กลับกลายเป็นนักการเมืองอย่างอดิศร เพียงเกษ,จาตุรนต์ ฉายแสง,จตุรนต์ คชสีห์,พินิจ จารุสมบัติ,การุณ ใสงาม และหมอพรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช ในเวลาหลายปีต่อมา รวมทั้งภูมิธรรม เวชยชัย หรือเกรียงกมล ที่เป็นแมนบีไฮด์เดอะซีนของทักษิณเมื่อการปฏิวัติในเขตป่าเขาล้มเหลว หนทางการยึดทำเนียบจึงเป็นคูหาเลือกตั้งแทนส่วนเจเนเรชั่นที่3ของ สายธารกระแสทวนเป็นไปอย่างกระปลกกระเปลี้ย กว่าจะรื้อฟื้นศูนย์นิสิตกลับมาใหม่ในนามของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศ ไทย(สนนท.)ก็ล่วงถึงปี2524 โดยนักศึกษาแพทย์มหิดลนามภูษิต ประคองสาย ส่งไม้ต่อให้อภิชาติ ขำเดช ล่วงมาถึงอนุสรณ์ ธรรมใจ,นักศึกษาแพทย์หญิงวิลาสินี หมอกเจริญพงศ์ กว่าจะมาเป็นปริญญา เทวานฤมิตรกุล+กรุณา บัวคำศรี ในยุคพฤษภาทมิฬ2535 และกลายมาเป็นสุริยะใส กตศิลา และในยุคหลังปี2540 ตามติดด้วยอุเชนทร์ เชียงเสน แห่งยุคต้านโรงไฟฟ้าหินกรูด หรือท่อก๊าซไทย-มาเลย์ และยุคปัจจุบันร่วมสมัยที่กำลังงัวเงียถามหาวิญญาณประชาธิปไตยจากรุ่นพี่ส่วน หนึ่งก็กระจัดกระจายไปทำงานสื่ออย่างเสถียร จันทิมาธร,คำนูณ สิทธิสมาน,พิรุณ ฉัตรวนิชกุล หรือกระทั่งชัชรินทร์ ไชยวัฒน์(ที่มาพลอยฟ้าพลอยฝนโดนจับคดีคอมมิวนิสต์ร่วมกับพิรุณในปี2527) หรือ สำราญ รอดเพชร ไพศาล พืชมงคล เป็นอาทิ4.2สายธารการปฏิรูปคลี่คลายไปเป็นNGO..ภาคประชาชนขณะที่สายธารการปฏิรูปค่อยคลี่คลายเป็นองค์การพัฒนาภาคเอกชนอย่างเป็นทางการในหลังยุค6ตุลาฯ เริ่มต้นจากงานมนุษยธรรมด้วยการช่วยเหลือเขมรอพยพในช่วงปี2521ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และเมื่อหมดยุคเขมรอพยพ ค่อยเข้าสู่การำงานพัฒนาชุมชนในเขตชนบท อันเป็นรูปธรรมเช่น#อภิชาต ทองอยู่-ญัค#อภิชาต ทองอยู่ (ซึ่งต่อมาจะเป็นเลขาธิการและโฆษกพรรคมหาชนของเสธ.หนั่น และบอร์ดTPBS)ไปฝังตัวในพื้นที่ขอนแก่น-เปี๊ยก#บำรุง บุญปัญญา ซึ่งไปเป็น?กูรู?ในวงการพัฒนาภาคเอกชนแถบอีสานใต้ และต่อมาอีสานเหนือ-สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ซึ่งเคลื่อนไหวขบวนการครูในพื้นที่โคราชและบุรีรัมย์ สมทบด้วยสุชน ชาลีเครือ ในพื้นที่เขตชัยภูมิ-เปี๊ยก#พิภพ ธงชัย ซึ่งปักหลักสร้างซัมเมอร์ฮิลล์ขึ้นในพื้นที่ป่าเมืองกาญจน์ ก่อตำนาน?หมู่บ้านเด็ก?-ครูแดง#เตือนใจ ดีเทศน์ เข้าไปใน?หมู่บ้านด้วยหัวใจอันเบิกบาน?ในพื้นที่สูงจังหวัดเชียงราย-ครูประทีป อึ๊งทรงธรรม บุกเบิกพัฒนาสลัมคลองเตย จนคว้ารางวัลแม็กไซไซ-โย#บำรุง คะโยธา กรรมกรดีกรีเยอรมัน ซึ่งบุกเบิกงานพัฒนาชุมชนในเขตสายนาวัง กาฬสินธิ์-สมภพ บุนนาค เชื้อสายขุนนางเก่าไปเปิดงานพัฒนาชุมชนในชื่อองค์การแพลนในย่านขอนแก่น-มหาสารคาม ร่วมกับ?ปู่?เดช พุ่มคชา-บุญเรือง สุขสวัสดิ์ สืบสานพื้นที่พัฒนาชัยนาทต่อจากยุคเริ่มต้นที่ดร.ป๋วยสร้างเอาไว้-พิศิษฏ์ ชาญเสนาะ ไปบุกเบิกงานพัฒนาในเขตเกาะแหลมสนแหลมมะขาม อ.สิเกา จังหวัดตรัง-บรรจง นะแส ซึ่งพกดีกรีปริญญากลับบ้านด้วยวัวตัวหนึ่ง เพื่อเปิดพื้นที่งานพัฒนาในเขตนครศรีธรรมราช-สุลักษ์ ศิวรักษ์กับสานุศิษย์ ที่เปิดพื้นที่อาศรมวงศ์สนิทนครนายกฯ-จอน อึ๊งภากรณ์ เปิดพื้นที่เมืองรณรงค์ในโครงการเข้าถึงเอดส์-เสน่ห์ จามริก ที่เปิดมูลนิธิท้องถิ่นไทย เชื่อมโยงสายใยไปหาศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ในตอนเป็นประธานNGO เชื่อมสายโยงยาวมาเป็น สสส.ในเวลาต่อมา-รสนา โตสิตระกูล แห่งมูลนิธิโกมลคีมทอง ที่ต่อมารณรงค์เรื่องทุจริตยา-กวิน ชุติมา และดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ แห่งคณะกรรมการรณรงค์เผยแพร่งานพัฒนา-พิศิษฏ์ ณ พัทลุง และศรีสุวรรณ ควรขจร ในนามมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชฯ-ไพโรจน์ พลเพชร สมชาย หอมละออ แห่งสมาคมส่งเสริมสิทธิเสรีภาพประชาชน-แม้กระทั่ง บก.ลายจุด หรือสมบัติ บุญงามอนงค์ แห่งมูลนิธิกระจกเงาในยุคหลังๆ-บรรจบบรรสานกับนักวิชาการ+ข้าราชการสายปฏิรูปอย่างร.ต.อ.มรว.ศ.ดร.อคิน รพีพัฒน์ แห่งRDI มหาวิทยาลัยขอนแก่น,ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ และคณะแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่,ศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แห่งรายการเวทีชาวบ้าน,ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวนิช แห่งสำนักจุฬาฯ และสืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าหวยขาแข้ง และยืนยง โอภากุล ผู้รณรงค์"ไทยนิยม"ผ่านงานเพลง เป็นอาทิ
สิ่งที่ผมพบเจอในขบวนการภาคประชาชนที่ชื่อ NGO โดยรวมๆก็คือ-พวกเขาล้วนแต่แน่วแน่ในอุดมคติที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น แต่เนื่องจากไม่ได้รับทุนจากภาครัฐ ส่วนใหญ่ก็ต้องขอทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นองค์การสาธารณกุศล หรือองค์การด้านศานา(โบสถ์คริสเตียน) หรือองค์กรด้านแรงงาน ดังนั้นข้อเรียกร้องต้องการต่อคนในขบวนจึงเคร่งครัดไม่ต่างกันนักคือ คนในขบวนต้องมักน้อย ได้เงินเดือนพอยังชีพ ทว่าต้องอุทิศตัวเสียสละอย่างสูง จะหวังความสะดวกสบายหาไม่ได้เลย แล้วยิ่งหวังว่าจะตั้งตัวได้ก็อย่าหวัง ก็เลยกลายเป็นว่าเอาไปเอาก็จะคัดกรองเหลือเฉพาะคนที่มีฐานะทางบ้านดี หรือไม่เป็นภาระจะอยู่ในขบวนการได้ยืดเยื้อหน่อย-พวกเขามีวิธีคิดที่แข็งตัวไม่ค่อยยืดหยุ่น คือทำตัวเคร่งครัดยิ่งกว่าพระ อาจเป็นเพราะจะได้ทนทานต่อสภาพงานการ คิดภาพเป็นดำเป็นขาว ดังนั้นไม่แปลกนักหากในเวลาต่อมาเมื่อผมพ้นจากการเป็นNGOมาทำงานข่าว หรือกระทั่งกลายเป็นนักธุรกิจแล้วจะถูก?รุ่นใหญ่?บอกว่า?ไอ้นี่มันเปลี่ยนไปแล้ว?(กล่าวคือเปลี่ยนสีแปรธาตุในทัศนะของรุ่นใหญ่เหล่านั้น)-พวกเขาปฏิเสธและออกจะชิงชังสังคมบริโภคนิยม ทุนนิยม หรือต่อต้านโลกาภิวัตน์ ดังมีเรื่องว่าเมื่อผมไปหาสุลักษณ์ที่บ้านนั้น ที่นั่นไม่มีทีวีให้ดู ลูกเขาต้องไปดูทีวีที่ข้างบ้าน ,เมื่อผมไปเยี่ยมญัค-อภิชาตนั้น เขานอนอยู่ที่?ตูบต่อเล้า?หรือบ้านปั้นดินเหนียวติดฉางข้าว แล้วจุดไต้หรือตะเกียง แทนไฟฟ้า,หรือเมื่อผมไปหาเปี๊ยก-บำรุง บุญปัญญาเพื่อโน้มน้าวให้เขามาเป็นแม่ทัพหน้าในการขับเคี่ยวกับภาครัฐที่กำลัง แย่งชิงทรัพยากร ไล่ที่ทำเขื่อนปากมูล ไล่ที่ปลูกป่ายูคา ไล่ที่ทำนาอุตสาหกรรมนาเกลือนั้น บำรุงกำลังรณรงค์เรื่อง?ภูมิปัญญาชาวบ้าน?อยู่อย่างเอาการเอางาน และเมื่อผมไปเยี่ยมพิภพ ธงชัย ที่หมู่บ้านเด็กนั้น ผมเห็นเด็กที่นั่นกำลังเป็น?สิ่งแปลกแยกกับโลกภายนอกที่มันเป็นจริง? หรือเมื่อผมไปหาโย-บำรุง คะโยธา ในหมู่บ้านที่กาฬสินธุ์นั้น เขากำลังหั่นมันสำปะหลังเลี้ยงหมูอยู่ เพราะเขาต่อต้านรำข้าวจากโรงสีไฟฟ้าฯลฯ-พวกเขาเน้นการรณรงค์ประชาชนให้กลับไปใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิม ต่อต้านกระแสทุนสมัยใหม่ที่กำลังเชี่ยวกราก ดังนั้นเขื่อนทุกเขื่อนจึงเป็นเรื่องที่ต้องต่อต้าน เพราะไฟฟ้าไปสู่เมืองและไปสู่โรงงานอุตสาหกรรมของกลุ่มทุน หรือบรรษัทข้ามชาติ ดังนั้นสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ก็จึงรณรงค์ตั้งสหกรณ์ครูและชาวนาให้เป็นเกียรติแก่ครูที่เสียสละในการต่อสู้ กับกลุ่มทุนท้องถิ่น,ญัค-อภิชาตจึงเขียนหนังสือ?คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน?, บำรุง บุญปัญญา ก็จึงรณรงค์ชาวนาให้ทำเกษตรผสมผสาน และทำเกษตรแบบทำอยู่ทำกิน(ก่อนจะกลายเป็นเศรษฐกิจพอเพียงในวาระต่อมาอีก2ทศวรรษ),พิศิษฏ์ ชาญเสนาะ ก็พาชาวมุสลิมในสิเกา ฟื้นฟูป่าชายเลน,เตือนใจ ดีเทศน์ ฝังตัวในหมู่บ้านด้วยหัวใจอันเบิกบาน,ครูประทีปก็อยู่ในสลัมด้วยหัวใจอาสาสมัคร เช่นเดียวกับสุวิทย์ วัดหนู-พวกเขาไม่ได้ค่อยสนใจในสิ่งที่เรียกว่า"การต่อสู้ในเชิงโครงสร้าง" คือการขับเคี่ยวทางการเมืองนัก และออกจะปฏิเสธวิถีนั้น เพราะได้เห็นแล้วว่าพวกภาคประชาชนสายปฏิวัติก็ทำล้มเหลวมาแล้ว
อย่างไรก็ตามโครงสร้างด้านบนบุกมาเยือนภาคประชาชนสายปฏิรูปอย่างไม่ตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นการที่รัฐจะสร้างเขื่อนน้ำโจน จนสืบต้องพลีชีพเพื่อปกป้องป่าผืนนั้น,ไม่ว่าจะเป็นกรณีเขื่อนปากมูลที่รัฐใช้ความรุนแรงกับช่าวนาเจ้าของพื้นที่อย่างไม่ไยดี,ไม่ว่าจะเป็นการที่รัฐและทุนเข้าไปทำลายพื้นที่นาข้าว3จังหวัดอีสานด้วยการหนุนกลุ่มทุนท้องถิ่นทำอุตสาหกรรมเกลือสินเธาว์,การไล่ชาวนาออกจากพื้นที่ให้ทหารไปปลูกไม้ยูคาลิปตัส,การรุกไล่ชาวบ้านในกรณีท่อก๊าซเมืองกาญจน์,การรุกไล่ชาวบ้านกรณีเหมืองแม่เมาะ,กรณีมลพิษนิคมอุตสาหกรรมลำพูน,กรณีโรงไฟฟ้าหินกรูด และท่อก๊าซไทย-มาเลย์เมื่อชาวนาอยู่ไม่สุข ใครเล่าจะมีแรงทำเกษตรผสมผสาน ทำเกษตรพออยู่พอกิน ฟอกย้อมหม่อนไหมด้วยสีธรรมชาติ รักษากันด้วยสมุนไพรยาป่า หรือจุดตะเกียงแข่งกับแสงนีออนกันต่อไป ก็จำเป็นอยู่เองที่NGOที่มีลักษณะต่อต้านการบริโภคนิยม ต่อต้านโลกภิวัตน์ จำต้องเข้าเป็นพลังหนุนชาวนา#บำรุง คะโยธากระทั่งก่อรูปขบวนขึ้นเป็นสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน(สกยอ.)ใต้การนำของโย-บำรุง และอโศก ประสานสอน อดีตผู้นำกรรมกร ที่ตอนนี้เป็นชาวนาที่ขอนแก่นบ้าง,สมัชชาคนจนใต้ธงนำของNGOทั้งประเทศบ้าง มีสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์-บำรุง บุญปัญญาหนุนเนื่องบ้าง,กลุ่มต่อต้านเขื่อนปากมูลใต้การนำของวนิดา ตันติพิทักษ์บ้าง,ต่อต้านท่อก๊าซเมืองกาญจน์ใต้การนำของสุลักษณ์ และพ่วงเอาศิษย์สำนักในอดีตอย่างพิภพ ธงชัยออกมาบ้างกระทั่งวันหนึ่งพวกเขาก็ได้ข้อสรุปที่จัดเจนว่าต้องมีคนของภาคประชาชนไปอยู่ใน สภา นั่นเองครูประทีป,ครูแดง,อาจารย์จอน,อาจารย์เจิม,ครูสุชน,ครูหยุย,ครูยุ่น และใครต่อใครจึงพาเหรดเข้าสภาสูงในยุคทักษิณทรงอำนาจเหนือตึกไทยคู่ฟ้า
องก์ที่5.การบรรจบของ2สายธารในกรณีรัฐประหาร19กันยาฯ
#สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ส่วนภูมิธรรมที่เคยอยู่สายปฏิรูปด้วยการปลุกปั้นมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม(มอ ส.)ที่จุฬาฯปลุกปั้นคนรุ่นใหม่ออกไปเป็นอาสาสมัครในชนบท เป็นNGOหน่อใหม่มาหลายสิบรุ่นนั้น ผันแปรมาผนึกกับมิตรเก่าสายปฏิวัติในอดีต โดยการไปเป็นกุนซือทางการเมืองให้นายทุนชาติที่ชื่อทักษิณ แล้วก็พ่วงพรรคพวกจากจุฬาฯอย่างสุธรรม แสงปทุม ดึงเอาเกรียงกมล-หมอมิ้ง-จาตุรนต์(ซึ่งทิ้งชีวิตนักศึกษาแพทย์ไว้ในป่า แล้วมาเอาดีด้านรัฐศาสตร์)-พินิจ จารุสมบัติ-สุธรรม แสงปทุม-อดิศร เพียงเกษ-ไอ้ก้านยาว ประพัฒน์ แซ่ฉั่ว(ปัญญาชาติรักษ์)-ผดุงศักดิ์ พื้นแสน หรือใครต่อใครในเวลาต่อมากล่าวได้ว่าขณะที่ภาคประชาชนสายปฏิวัติใน อดีตกลมกลืนไปได้ดีกับนายทุนชาติ และพยายามยิ่งยวดในการเปลี่ยนเจ้าพ่อธุรกิจสื่อสารให้"เท้าติดดิน"ด้วยการ"แปลงภูมิปัญญาNGOให้เป็นทุน"ทั้ง30บาททุกโรค,พักหนี้เกษตรกร,ธนาคารคนจน,OTOPทว่าด้านหนึ่งฝ่ายประชาชนสายปฎิรูปยังเดินหน้าต่อต้านโลกาวัตน์อย่างแข็งขืน และยืนท้าทายกระแสบริโภคนิยมอย่างทระนง มีบ้างบางส่วนที่เข้ามาเป็นสว.ภาคประชาชน(ซึ่งก็ยืนตรงข้ามกับทักษิณทั้งนั้น)กระแสขับเคี่ยวโค่นล้มทักษิณมาถึงก็ต่อเมื่อพลังกระแสหลักของสังคมไทย คือพลังจารีตนิยม+อนุรักษ์นิยม+อำนาจนิยม ไฟเขียวเต็มที่ให้กับสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นนายทุนชาติด้านสื่อและอดีตพันธมิตรผู้แนบแน่นกับทักษิณ "หัก"ทักษิณด้วยข้อหา"ทุนสามานย์"และทรราชย์แห่ง"ระบอบทักษิณ"ไม่ว่าจะเพราะทักษิณเป็นหรือไม่เป็นทุนสามานย์ หรือสนธิลิ้มฯเป็นทุนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทว่าพลพรรคร่วมค่ายซ้ายเก่าอย่างคำนูณ-ไพศาล-สำราญก็ออกศึกรำดาบพุ่งทวนไป ใส่ร่างทักษิณอย่างพร้อมเพียง พร้อมเพรียกหาพันธมิตรที่คุ้นเคยอย่างอาจารย์สมเกียรติ-พิภพ-ส.ศิวรักษ์-หงา คาราวาน-แอ๊ด คาราบาว-เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง-แก้วสรร อติโพธิ์ หนุนเนื่องด้วยประเวศ วะสี และฯลฯออกรบอย่างคับคั่งภาคประชาชนสายปฏิรูปทั้งมวลหรือเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ต่างร่วมเป็นพันธมิตรทั้งจงใจ และไม่ตั้งใจในการขับเคี่ยวโค่นล้มทักษิณในบริบท และบาทก้าวที่แตกต่างกันไป...อาจกล่าวได้ว่าภาคประชาชนสายปฏิรูปได้ลุกขึ้นมาโค่นล้มในสิ่งที่ฟากประชาชนสายการปฏิวัติกำลังฟูมฟักว่าเป็นชิ้นงานมาสเตอร์พีซของพวกเขา นั่นก็คือเศรษฐกิจประชาธิปไตยแบบ"ทักษิโนมิกส์"มาถึงตรงนี้คงพอเดากันออกแล้วว่า ทำไมภาคประชาชนสายปฏิรูปจึงก่อตัวขึ้นสู่กระแสสูงยิ่งในการต่อต้านทัดทานและ โค่นล้มทักษิณ ชินวัตร ก็เนื่องเพราะรากฐานเป็นมานั้นพวกเขารังเกียจกระแสบริโภคนิยม-ทุนนิยม-ทุน ข้ามชาติ กระทั่งเกิดนิยามศัพท์"ทุนสามานย์"ในเวลาต่อมาความสบายอกสบายใจของภาคประชาชนสายปฏิรูปในการล้มล้างทักษิณก็คือ พวกเขาไม่ได้ล้มล้างระบอบประชาธิปไตยเลย เพราะประชาธิปไตยนั้นถูกล้มล้างไปโดยทักษิณก่อนหน้านั้นแล้ว...สิ่งที่พวกเขาโค่นล้มมันลงไปคือ"ระบอบทักษิณ"ต่างหากทว่าเนื่องจากประสบการณ์ของภาคประชาชนสายปฏิรูปในสายงานด้านการเมืองหรือโครง สร้างด้านบนนั้นมีข้อจำกัดมาก ทำให้พวกเขากำลังงุนงงสับสนกับตัวเองอยู่มากว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในการรัฐประหาร19กันยาฯนั้นคืออะไร? ผลพวงที่ตามมานั้นมันเป็นอะไรแน่? ตกลงมันเป็นเผด็จการ หรือแค่"ช่วงเปลี่ยนผ่านหลังยุคทักษิณ"(Post Thaksin)ไปสู่ประชาธิปไตยที่ชาวบ้านพลเมืองจะได้ถึงยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพจริงๆจังๆ?คน ที่คิดได้ก่อนอย่างนักวิชาการอย่างศ.ดร.นิธิ,อาจารย์จอน,จรัล ดิษฐาอภิชัย,หมอเหวง,ครูประทีป ก็ออกโรงกลับลำมาต่อต้านผู้ยึดอำนาจรัฐประหารอย่างเอาการเอางานบ้าง หรือผ่อนหนักผ่อนเบาบ้างคนที่มีความหวังว่าหลังยุคทักษิณจะดีขึ้นอย่างหมอประเวศก็ให้ศีลให้พรคณะรัฐประหาร ไป เขาจะฟังไม่ฟังก็อีกอย่าง หรือกว่าจะหาที่ยูเทิร์นเจออย่างสุริยะใส ที่ออกมาค้านไม่ให้พลเอกสนธิสืบทอดอำนาจ พรรคพวกเพื่อนฝูงแวดวงก็กาหัวแล้วว่า"ต้องปล่อยเกาะโดดเดี่ยวมันแล้วไอ้ใส"คนที่หลงเข้าไปเต็มแท่งเต็มลำอย่างแก้วสรร,เจิมศักดิ์,สำราญ,คำนูณ,ไพศาล,ศ. ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ(เลขาธิการสมาคมสังคมศาสตร์) ก็ต้องเลือกข้างไปชัดๆด้วยการปลอบใจตัวเองว่า?เผด็จการทหารก็แค่ชั่วคราว เดี๋ยวก็เลือกตั้งแล้ว ยังไง้ยังไงก็ยังดีกว่าทุนสามานย์อย่างระบอบทักษิณ?
องก์สุดท้าย:รูดม่านนาฏกรรมบนลานพระรูปฯ
สำหรับผมแล้ว ภาพของชาวบ้านที่แห่แหนนำดอกไม้ไปให้กำลังใจคณะรัฐประหาร พาเด็กๆไปร่วมกันถ่ายรูปกับรถถัง และไปทัวร์กันยังกับงานรื่นเริงประจำปีที่ลานพระรูปฯในเหตุการณ์รัฐประหาร 19กันยาฯ สลับกับภาพที่ลุงแท็กซี่นวมทอง ไพรวัลย์ขับรถแท็กซี่ชนรถถังพลีชีพเพื่อปลุกสติสังคมนั้น...ว่าไปแล้วมันก็เป็นนาฏกรรมบนลานกว้างดีๆนั่นเองทว่า เป็นสุขนาฏกรรมของภาคประชาชนสายปฏิรูปที่ไร้เดียงสาทางการเมือง แต่เป็นโศกนาฏกรรมของภาคประชาชนสายปฏิวัติที่เคี่ยวกรำศึกงานการเมืองมาชั่วชีวิตแต่ทั้งหมดมันก็คือนาฏกรรมที่มีพลเมืองของประเทศนี้ สอดบรรสานเป็นอุปรากรวงใหญ่เพียงแต่สรรพสำเนียงแห่งเสียงเพลงบรรเลงของภาคประชาชนหนนี้ ฟังไม่เป็นสับปะรดขลุ่ยใดๆ และไร้รสนิยมอย่างน่าชัง...ท่ามกลางเสียงกลบเย้ยของพลังสายธารกระแสหลักอย่างหยามหยันอีกคำรบหนึ่ง!

////
มัสยาหลงเหยื่อ-เคยเป็นชื่อนวนิยายโดยฤดี เริงชัย ว่าด้วยนักกิจกรรมฝ่ายซ้ายทำตัวเป็นสมภารหลอกกินไก่วัด ว่ากันว่าตอนนี้วงการเอ็นจีโอก็มีพวกสมภารกินไก่วัดกันทั่วทุกภาคของประเทศ ทำให้แวดวงดีๆมีอุดมการณ์พลอยเสื่อมเสียเหม็นหึ่งไปด้วยโดย คุณรักในหลวงห่วงลูกหลานที่มา บอร์ดชุมชนฟ้าเดียวกัน29 สิงหาคม 2552
หมายเหตุไทยอีนิวส์:ผู้ใช้นามปากกา"รักในหลวงห่วงลูกหลาน"ซึ่งเคยเขียนซีรีส์ยอดฮิต"ลากไส้สื่อเหี้ย"อันลือลั่น กลับมาอีกครั้งด้วยซีรีส์ชุดใหม่ลากไส้แวดวงNGO,นักวิชาการ,นักสิทธิมนุษยชน,นักกิจกรรมสังคม,นักศิลปิน,นักธุรกิจ,ศาล,องค์กรอิสระ และฝ่ายซ้ายเก่า ซึ่งเขาได้ตีแผ่วงการด้วยสำนวนฮาร์ดคอร์ดิบเถื่อนให้เห็นว่า เพราะเหตุใดแวดวงดังกล่าวจึงได้ผิดเพี้ยนเปลี่ยนจุดยืนมาสนับสนุนขบวนการอำมาตย์ได้อย่างน่าพิศวงอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งไทยอีนิวส์ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน และกรุณาตรวจทานแก้ไขก่อนการเผยแพร่เป็นตอนๆ
ก็เนี่ยแหละNGO-เอ็นโตดี ไม่ได้ฉายานี้มาเพราะโชคช่วยนะ พวกมัน"ล่าแต้ม"กันมา จึงมีฉายารับประกันความเชี่ยสัดๆ
ทีนี้เรื่องNGO ทำไมคนชอบแผลงชอบล้อเป็น"เอ็นโตดี" อันนี้มันมีที่มาหวะแล้วก็ฉายาว่า"เอ็นโตดี"นี่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะ แต่ได้มาด้วยหยาดเหงื่อและลำแข้ง ฟังแล้วแม่งเน่ากันสุดๆเลยสัดดเอ๊ย...เรื่องวงการNGOก็เหมือนวงการทั่วไปที่ต่างก็เป็นคนเดินดินกินขี้ปี้นอน แต่ที่ต่างจากวงการทั่วไปก็เพราะดันประกาศตัวว่าเป็นผู้เสียสละ มีอุดมคติ อุทิศตัวเพื่อส่วนรวม เคร่งครัดเรื่องส่วนตัวนี่แหละ แม่งก็เลยมีเรื่องให้ได้เมาธ์กันไม่จบไม่สิ้นซักเกือบ20ปีก่อนนี่ก็ไปเกิดเรื่องที่องค์กรเกี่ยวกับผู้หญิงถึงผู้หญิง คือปกตินักกิจกรรมด้านสิทธิสตรีมันก็ต้องต่อสู้เพื่อผู้หญิงใช่ไม่ใช่-ใช่เรื่องทำนองชู้สาวมันก็ควรต้องเป็นข้อยกเว้นแต่ก็ดันมีเรื่องขึ้นมา เพราะเฟมินิสต์รายนึงในองค์กรนี้ดันไปปิ๊งรุ่นพี่นักกิจกรรมสมัย6ตุลาฯที่ออกจากป่าเข้าให้ รุ่นพี่คนนี้ก็ไม่ได้หน้าโจรๆแบบนักกิจกรรมทั่วไปที่5ย.เสื้อยืด กางเกงยีนส์ สะพายย่าม ผมยาว รองเท้ายางนะ แต่หล่อมาดเนี้ยบ พูดจานุ่มนิ่มยิ้มกริ้มกรุ่มกรุ้มกริ่มปิ๊งแล้วก็จบแค่นั้น เก็บเธอไว้ในใจก็ไม่เป็นไร ดันร้องว่า"เค๊าจะเอาๆๆๆ"ก็เลยเสร็จคุณเธอ แต่รุ่นพี่นั่นเสือกมีเมียแล้วนี่สิ เลยเป็นเวรของกรรมขึ้นมา ไอ่รุ่นพี่ผู้ชายที่ทำงานอยู่ค่ายป๋าส.ก็ต้องทิ้งลูกทิ้งมีเมียมาอยู่กับนังนี่ในองค์กรนี้อีกเหมือน ทางหน่วยงานก็ส่งเฟมินิสต์อีกรายไปประสานงานกับพวกแรงงานหญิง กับทางนักศึกษา ประสานไปประสานมาไปเจอ"ดุ้น"เข้าให้อีก ก็เลยดั๊นไปได้กับนักกิจกรรมนักศึกษาแถวท่าพระจันทร์. ..ก็เลยน้ะ พอดีเป็นกลุ่มเฟมินิสต์ มันก็มีแต่ผู้หญิงเต็มไปหมด ก็เลยได้นินทากัน แล้วก็มีเมาธ์กันไปในวงกามเอ็นโตดีกันพอสมควรแต่นั่นแค่น้ำจิ้มนะ คือรักกันได้กัน ไม่หลอกฟันแล้วชิ่ง รักจริงหวังแต่งก็ว่ากันไป เรื่องของหอยกับดอของพวกเมิง ใครก็คงไม่อยากเสือกหรอกที่มันหนักหนานี่ก็คือ พวกที่ชอบอ้างว่าตัวเองเป็นนักอุดมคติ นักอุดมการณ์ แล้วดันออกลายมีสันดานทำให้เกิดเรื่องงามไส้ขึ้นในทำนองนิยายเรื่อง"มัสยาหลงเหยื่อ"ของฤดี เริงชัย เขียนแขวะพวกฝ่ายซ้ายเก่าหลอกแดกไก่วัดนี่สิมันแสบยิ่งกว่าทิงเจอร์ราดหนองในเน่าอย่างที่ผมเคยบอกไปว่า ในวงการมันก็มีรุ่นใหญ่ขึ้นหิ้งเอาไว้กราบไหว้ ลงมายันเอ็นโตดีรุ่นอ่อนเอ๊าะพวกขาใหญ่ขึ้นหิ้งทั้งหลายก็เหมือนปู+ชะนี+บุคคลแหละส่วนเด็กใหม่นี่ส่วนใหญ่คือทางมูลนิธิอาสาสมัครแห่งหนึ่ง(ไม่ใช่อาสาสมัครร่วมกตัญญู หรืออาสาสมัครปอเต๊กตึ๊งนะ ส่วนจะอาสาสมัครอะไร ก็อย่าไปใส่ใจเลย คนดีๆเขาจะพลอยเสียหายไปด้วย) มูลนิธิอาสาสมัครที่ว่านี้มี"เอ็นจีอ้วน"เขาตั้งขึ้นมา เขาก็จะนำนักศึกษาจบใหม่ไฟแรง ส่วนใหญ่มีพื้นเพทำกิจกรรมค่ายอาสาในมหาลัยมาเป็นอาสาสมัคร อบรมกันเสร็จก็ส่งไปทั่วประเทศอยู่กับหน่วยงานองค์กรต่างๆของพวกเอ็นจีโอบรรยากาศก็เหมือนเด็กฝึกงานทั่วไปแหละ ไปใหม่ๆพวกนี้ก็ตื่นตาตื่นใจ เห็นพวกขาใหญ่ขึ้นหิ้งก็นึกว่าเป็นidolที่น่าเคารพกราบไหว้ ไอ่พวกขึ้นหิ้งทั้งหลายแทนที่จะให้เขาลุยสนามทำงาน มันก็บอกเอามาเรียนรู้งานที่ออฟฟิศก่อน งานหลักก็เหมือนออฟฟิศทั่วไปคือเป็นที่รองมือรองตีน ให้ช่วยถ่ายเอกสาร ช่วยถอดเทปที่ขาใหญ่ขึ้นหิ้งทั้งหลายไปพูดบรรยายตามงานสัมมนาต่างๆ แล้วก็ชงกาแฟ...หากเป็นอาสาสมัครผู้ชายนี่ก็ไม่เป็นไร ให้ชงกาแฟไม่กี่วันก็ไล่มันลงพื้นที่ จบแต่ผู้หญิงสมัยนี้เกิดมาแยะ แล้วตามมหาลัยผู้หญิงเป็นนักกิจกรรมมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายช่วงหลังๆก็กลางวันโดดเรียน ตกเย็นแดรกเหล้า ค่ำๆแทงบอล ดึกๆตีหม้อ...ผู้หญิงก็เลยมาทำงานกิจกรรมนักศึกษามากกว่า ก็แน่นอนว่าหลุดมาเป็นอาสาสมัครก็ย่อมมากกว่า ออกไปฝึกงานกับพวกขึ้นหิ้งทั้งหลายมากกว่าไอ่พวกขึ้่นหิ้งนี่แม่งก็อาศัยความที่เด็กมันศรัทธาในชื่อเสียงภาพลักษณ์ อาศัยว่าอ้างว่า ช่วยเทรนเด็ก แล้วมันก็ใกล้ชิดกันด้วยสภาพงานชงกาแฟ พิมพ์งานให้ ถอดเทปให้ถอดเทปไปถอดเทปมา ไอ้ห่านผู้ใหญ่ขึ้นหิ้งนี่ก็ดันอยากถอดมากกว่าเทปนี่สิ คือแมร่งอยากจะไปถอดผ้าเค๊า...เชี่ยมั๊ยหละสัดดดที่ผมว่านี่ไม่ได้เหี้ยกันทุกตัวหรอก แต่บังเอิญว่ามีกันกระจัดกระจายทั่วทุกภาคของประเทศ(ยังกับข่าวอุตุนิยมวิทยา)ไอ่ขึ้นหิ้งตัวหนึ่งนี่อยู่ทางภาคอีสาน ยกย่องกันว่าเป็นพญาราชสีห์กันเลยทีเดียว คือคงจะมีหนวดมีเคราแบบราชสีห์หนะเลยได้ฉายามางี้ ก็แบ่บว่าตอนหนุ่มกว่านี้บ้าลุยงานมาก มีเมียมีลูกเต้าด้วยกันสองคน หน้าตาน่ารัก เด็กฉลาดมาก แต่แม่มันทนไม่ไหวหอบผ้าหอบผ่อนพาลูกหนีไปอยู่เมืองนอกซะ ขาใหญ่ราชสีห์ของเราก็เลยตกพุ่มหม้าย แล้วก็ไม่ยอมมีเมียใหม่(เป็นเรื่องเป็นราว) ก็เหงาว้าเหว่่ ไอ้ครั้นจะไปลงอ่างก็จะเสียlookพญาราชสีห์ ก็เนี่ยเลยทำตัวเป็นสมภารแดรกไก่วัดแม่งซะเลย พวกนักศึกษาฝึกงาน พวกอาสาสมัครนี่แหละ กรุบกรอบขบเผาะดีนักแลตอนแรกๆก็มาฟอร์มนิยาย"มัสยาหลงเหยื่อ"แหละ คือพอใกล้ชิดเด็กเข้าก็บอก"พี่เหงา"(ความจริงอายุอานามไปเรียกตัวเองว่าพี่นี่แม่งก็น่าจะกระดากปากตัวเองซะมั่ง เมิงมันรุ่นปู่เค๊าแล้วเชี่ย)ชีวิตพี่่รันทด ลูกเมียครอบครัวไม่เข้าใจทิ้งพี่ไปเมืองนอก พี่ก็เก็บความสดมาตลอด ไม่เคยวอกแวกเลยก็เพิ่งมารู้สึกว่า"ใช่เลย"กับน้องนี่แหละ. ..อันนี้่ถ้าเด็กก็มีใจด้วย ก็เสร็จโดยละม่อมแต่หากเด็กไม่มีใจนี่ ก็มีอีกสเต็ป คือฟอร์มสะตอบอแหลไปอีกแบบ เช่น วันนี้หนูอย่าลงพื้นที่ลงสนามเลยช่วงนี้แบ่บว่าพี่ป่วยหนัก(ก็เสือกแดกเหล้าหนัก)ช่วยอยู่ดูแลพยาบาลพี่ที ว่าแล้วก็ให้เด็กเข้าไปในที่รโหฐานสองต่อสองคอยปรนนิบัติพัดวีป้อนข้าวป้อนยา เด็กเผลอก็รวบซะเลย แล้วก็บอกน้องนี่แหละคนที่ใช่ของพี่...อุบาทวก์กว่านั้น คือสะตอบอแหลยังไงก็แล้วเด็กมันไม่เล่นด้วย ก็ปล้ำแม่งซะเลย เสร็จบอกว่า พี่มันเหี้ย จะฆ่าแกงยังไงก็ได้ พอดีวันนั้นพี่เมาหนักไปหน่อย (ความจริงแม่งก็อาการเพียบทุกวันแหละ)ก็รู้กันทั้งบางว่ามีเรื่องจังไรพรรค์นี้เกิดขึ้น แต่ก็เคลียร์จบทุกราย ก็ระหว่างคนอยู่บนหิ้งมีคนกราบไหว้บูชามีอุดมการณ์อุดมคติสูงส่ง กับเด็กอาสาสมัคร หรือเด็กนศ.ฝึกงาน มันก็น้ำหนักต้องไปอยู่ข้างไอ่แก่ราชสีห์หัวงูอยู่แว้วว...คือเกิดเคสเดียวนี่ก็พอทำเนา แต่แดกนศ.ฝึกงาน รับประทานอาสาภาคสนามปาจำนี่ มันเชี่ยมั๊ย.."เอ็็นจีอ้วน"ตอนนั้นยังไม่มาทำงานกับแม้วเต็มลำ เป็นผู้อำนวยการมูลนิธิอาสาสมัครอยู่ ก็รับรู้เรื่องนี้เต็มๆ เพราะเด็กส่งไปฝึกงานกี่รุ่นต่อกี่รุ่นมันก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งมาฟ้องกัน เอ็นจีอ้วนก็มีเคืองสะสมแต้มเรื่องนี้อยู่เรื่อง ต่อมาเลยเลิกเป็นโซ่ข้อกลางให้พวกเอ็นจีโอกับรัฐบาลเหลี่ยม ตอนที่อ็นจีอ้วนมาเป็นกุนซือให้เหลี่ยมสมัยเหลี่ยมมีอำนาจวาสนาเป็นนายกฯอยู่หลายปีเรื่องของกระดอแท้ๆเลยกลายเป็นลุกลามให้ความสัมพันธ์ของเอ็นจีโอกับเหลี่ยมบาดหมางขาดผึง หันมารบรากันจนทุกวันนี้เรื่องพรรค์นี้มีไปทั่วในอีสาน ที่ดังก็แถบอีสานใต้นี่ดังมากกรณีหนึ่ง ไอ่พวกระดัีบหัวแถวตรงนั้นคนนึงก็ดันได้เด็กอาสาฯนี่แหละ ปกติชิ่งออกตัวสำเร็จ แต่เคสนี้ชิ่งไม่ออก เลยเจอเมียด่าบ้านแตกบอกว่า เด็กมันดีกว่ากรูตรงไหน? กรูทั้งสวยทั้งขาว เด็กแม่งดำปื๊ดอ้วนยังกะหมีควาย ไอ่เหี้ยนั่นก็ได้แต่ก้มหน้าสารภาพ แต่ในใจคงตอบว่า"เด็กมันหนึบกว่ามึงไง..." อีกตัวก็มาจากปักษ์ใต้มาอยู่อีสานใต้มีอุดมคติสูงส่งเป็นนักเขียนมีหนังสือลงเผยแพร่ เด็กฝึกงานกี่รุ่นต่อกี่รุ่น เด็กอาสาไปเมื่อไหร่ก็เสร็จมันทุกราย โดยเฉพาะหากเด็กมาจากต่างบ้านต่างเมืองและเหงา จะมีเราเป็นเพื่อนร่วมทางทันใด แต่ไอ่นี่เนียนก็ยังทำมาหาแดรกมาได้จนป่านนี้อีกตัวคนใต้เคยอยู่อีสาน หลังๆย้ายลงไปทำงานเอ็นโตดีปักษ์ใต้ ได้ใจว่าหล่อขาวสูงหน้าตาเทร็นด์เกาหลีั คนนี้ไอ่ยะใสหน้าดำใกล้ชิดมันเคยมาแต่งงานมัน เมียมันก็เป็นพวกเอ็นจีโอแวดวงเดียวกัน เคยไปสมัครสว.ลากตั้ง นึกว่าแต่งงานเสร็จจะหยุดอยู่ที่เธอ ไอ่เหี้ยนี่ก็มีเรี่ยราดไปทั่ว มันบอกทำไงได้ เด็กมันมาเอง ชั้นป่าวน๊าเด็กมันมาเอ๊ง กรูป่าวชวนน๊าเด็กมันมาให้ล่อเองส่วนทางเหนือนี่ก็เป็นตำนานท่านเอ็นโตดีนักเขียน ฟังชื่อก็โอ้โหอย่างอุดมคติโรมานซ์ ก็พฤติการณ์สมภารแดกไก่วัดเหมือนกัน มีอยู่เคสนึงเคลียร์ไม่จบจนถึงตอนนี้ ยังเอ้อเร่อเอ้อเต่อกันอยู่ส่วนอีกรายก็เคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาอาจารย์ป๋วยแหละ ก็ตามสูตรน้องชมรมในมหาลัยก็เสร็จมันก่อนอันดับแรก แต่ก็กระเตงกันไปได้เรื่อยๆ มันขอทุึนฝรั่งไปลงพื้นที่อีสาน เมียจบโทไปเป็นอาจารย์ทางโน้น เมียก็รู้สันดานผัวดี ไม่ยอมรับเด็กฝึกงานจากมูลนิธิอาสาสมัครส่งมาให้ ก็เลยคัดเด็กที่ว่าหน้าตาไม่ได้เรื่อง หุ่นเตี้ยตะแหมะแขะไปเป็นเด็กนักศึกษาฝึกงานกับผัวตัวเองแล้วนะ แม่งยังฟาดไก่วัดตอนเมียเผลอเลยสัดดดเมียก็เซ็งสัดๆ หนีไปทำปริญญาเอกเมืองนอก กะจะไม่กลับมา โดยยื่นคำขาดว่า ให้เลือกเอาจะเอาชั้นหรือเอาเด็ก ไอ้นี่เลยต้องหวานอมขมกลืนทิ้่งเด็ก เด็กแม่งก็หมดอนาคต จบมาหางานในด้านพวกเ้อ็นจีโอไม่ได้เลย เพราะเมียมันติดแบล็กลิสต์ไปทั่วราชอาณาจักร เมียได้ด๊อกเตอร์เลยยอมกลับมา ส่วนเด็กชะตาไม่ดี ไปได้เป็นเมียชาวนาในพื้นที่ตอนนี้ทั้งเตี้ยล่ำดำสิว. ..อนาถจิตเจงๆอันนี้คนอ่านของผมเขาเพิ่มเติมมาให้อุบาทว์จิตอีกว่า เรื่องหลอกล่อผู้เยาว์เนี่ย บางคนในแวดวงนี้เขาเทพ และเนียนมาก (พวกหื่นกาม ฉุด ญ เข้าพงหญ้ายังเลวน้อยกว่านี้ เพราะ ญ และสังคม ยังด่าไอ่พวกหื่นกามได้เต็มปาก ) แต่พวกเทพๆ นี้ หลังเสร็จกิจ น้อง ญ ส่วนมากจะโทษและรู้สึกรังเกียจตัวเองไปเลย บางคนรู้สึกแย่จนถึงคิดฆ่าตัวตาย เพราะ "ไปทำให้ครอบครัวของพี่ๆ เขาแตกแยก" ส่วนไอ่พี่ ช นั่น ยิ้มสบาย พี่ ญ ก็จะราวีหรือเอาไงดี ปัจจุบัน น้อง ญ บางคน ถูก (เพื่อนๆ และแวดวง) โดดเดี่ยว รับภาระเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงลูกอยู่คนเดียว ด้วยความรู้สึกผิด และยังเชิดชูบูชา ไอ่พี่ ช คนนั้นอยู่ - - แมร่งงงงงงเอ๊ย ห่วยอีหลี - - ยิ่งกว่าพล็อตละครหลังข่าวซะอีก!ก็เนี่ยแหละNGO-เอ็นโตดี ไม่ได้ฉายานี้มาเพราะโชคช่วยนะ พวกมัน"ล่าแต้ม"กันมา จึงมีฉายารับประกันป.ล.ในบ้านเมืองนี้ก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไอ้ที่ดีๆเค๊าก็มีบึ้ม กราบขออภัยหากเรื่อง(จริง)นี้ไปทำให้คนดีในวงการแปดเปื้อนมัวหมอง พูดเรื่องนี้ผมเลยว่าพวกนี้มันมีsex driveสูงหวะ...ต้องเข้าใจว่าพวก NGO นี่มันมนุษย์พันธฺุ์พิเศษนะ ปกติธรรมดามนุษย์มนานี่เป็นกันไม่ได้หรอก มันต้องมีแรงขับอะไรเป็นพิเศษหากแรงขับนั้นเป็นเรื่องพระเรื่องเจ้าเข้าวัดเข้าวาอย่างน้าเอียด ดีพูน สมพจน์ สมบูรณ์ มงกุฎ แก่นเดียว อาจารย์เสรี พงศ์พิศ ที่แกเป็นคริสเตียน หรือหมอยงยุทธอะไรนี่ก็ดีไป แต่เสือกมีแรงขับด้านsex driveนี่กรูหละสยองแทนพวกไก่วัดเป็นอันมาก ส่วนไอ้ว่าที่เหี้ยๆนี่ก็เล่ามาเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์นะสาวเอยจะบอกให้ เผื่อใครอ่านๆอยู่ และกำลังฝันๆหวานจะไปเป็นเด็กฝึกงานหรือเป็นอาสาสมัคร หรือไปเป็นเด็กใหม่เอ็นจีโอ พวกเอ็งก็ระวังไว้นี๊สนุง หน้าฉากพ่อพระนักบุญราชสีห์ หรือแสงดาวแห่งศรัทธา ปณิธานอันมุ่งมั่นสนั่นโลกาโกวิทย์วัฒนาสถาพรบำรุงที่เห็นๆกันนั้น มันอาจแค่เปลือกๆ...ของจริงนี่มันเอ็นโตดี กว่าจะรู้อีกทีเอ็นก็เข้าไปอยู่ในรูซะแร๊ะ. ....เชี่ยสัดๆๆๆ

03 มิถุนายน 2552

หาญณรงค์ เยาวเลิศ”


หาญณรงค์ เยาวเลิศ”
ผิดจากที่เราคาดไว้ที่ไหน !


เนื้อหา “หาญณรงค์ เยาวเลิศ”มหาสมุทรสุดลึก หยั่งได้ แต่ใจคนยิ่งกว่า ตีแผ่มิติชีวิตของพี่หาญไปแล้วส่วนหนึ่ง
http://taidin.blogspot.com/2009/05/blog-post.html

ข้อสังเกตของเราคือ พี่หาญเคลื่อนไหวเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างเข้มข้นในช่วงสรรหาสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯชุดที่ ๓ มี วาระซ่อนเร้นอย่างใดหรือไม่

เราตั้งคำถามตรงๆว่า “ใครจะบอกว่า กระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯไม่มีการ “ล็อบบี้” นั้น บอกตามตรงว่า “ตีให้ตายก็ไม่เชื่อ”“โอ้ ลาภ ยศ สรรเสริญ เมื่อเข้าไปหลงติด มันชั่งปิดทางนิพพานปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง” คือ คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเชื่อว่า หาญณรงค์ก็อยากจะนั่งเก้าอี้ สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯเป็นสมัยที่สอง”
เวลานี้ชื่อพี่หาญได้รับการสรรหาจ่อไว้ที่ปลายท่อ ร่ำๆว่าจะได้นั่งเก้าอี้ สป.เป็นสมัยที่ สอง

“สมใจนึกบางลำพู”

http://www2.nesac.go.th/selection3/

ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้ มีงานทำ จึงนับว่า “ต้องฉลอง”

แม้ว่าพี่หาญ จะมีอดีต งานเยอะจนแบ่งเวลาไม่ทันก็ตามทีเถอะ

ในวิถีทางเอ็นจีโอนั้น “โลกทัศน์” สำคัญกว่า “ชีวทัศน์” ดังนั้นแม้ชีวทัศน์จะล้มเหลวแต่โลกทัศน์ดีก็มีแต่การอุ้มชู สรรเสริญ ให้ไปนั่งกินเมืองดูแลเครือข่ายเพื่อนพ้องน้องพี่

พวกเขาจะยอมหลับตาข้างหนึ่ง ถ้าพี่หาญ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็น หัวหอกคณะทำงานวิชาการเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำ จะขาดการประชุมสำคัญนี้แม้ว่า ปีหนึ่งจะมีการประชุมเพียงแค่ ๒ ครั้งก็ตาม

http://www2.onep.go.th/wetlands/frontend/theme/distribute_doc.php?Lang=0&Submit=Clear&ID_Inf_Nw_Category=9

เราทราบมาว่า การผลักดันเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำนั้นจะมีเงินสนับสนุนจาก Ramsar Small Grants Fund (SGF)ประมาณไม่เกินทุนละ 40,000 สวิสฟรังค์ แล้วตอนนี้กำลังหาแหล่งทุนใหม่ซึ่งหมายตาไว้ที่โครงการป่าชายเลนเพื่ออนาคต (Mangroves for the Future: MFF) ได้ประกาศให้ทุนโครงการขนาดใหญ่ งบประมาณทุนละ 50,000 – 300,000 เหรียญสหรัฐ

การนำเงินเข้าประเทศมานั้นนับเป็นเรื่องนี้ เพราะเราทราบว่าเอ็นจีโอตั้งแต่สมัยถูกตัดท่อน้ำเลี้ยงในยุค ทักษิณ ชินวัตรนั้น ก็อดอยากปากแห้งมาโดยตลอด

ขนาดว่า กองทุนจากเงินของ จอร์จ โซรอส ที่ทำให้ประเทศต้องหมดตูดในวิกฤติต้มยำกุ้ง วันนี้ก็เห็นเอ็นจีโอหลายกลุ่ม เขียนโครงการมือเป็นระวิง เพื่อขอเงินมาใช้

อย่าลืมว่า ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว “ไม่มีอะไรฟรีในโลก”

เฉพาะอย่างยิ่งเงินจากประเทศพัฒนา ฉากหน้าดูเหมือนผู้ใจบุญ แต่จริงๆแล้วย่อมต้องมีเงื่อนไขจุกจิก

จะทำอะไรกันก็ตามที อย่าให้ประเทศเจ้าของเงิน เข้ามามีอิทธิพลเหนืออธิปไตยของประเทศก็แล้วกัน

20 พฤษภาคม 2552


ชำแหละ ไทยพีบีเอส




บังเอิญเพื่อนฝูงส่งมาให้อ่าน นี่เป็นอีกด้านของสื่อที่พยายาทหาแนวร่วมกับชาวบ้านด้วยการเป็นพันธมิตรอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะกรณีโรงถลุงเหล็กที่บางสะพาน ซึ่งมี สุพจน์ ส่งเสียง เป็นนักข่าวพลเมืองด้วย เนื้อหาต่อไปนี้เป็นการชำแหละของคนที่มีน้ำหนักในการพูดอย่างถึงที่สุดเวลานี้ "สนธิ ลิ้มทองกุล"


ใครโดนหางเลขบ้าง เก็บเป็นข้อมูลไว้ แล้วจับตาดูพฤติกรรมของพวกเขา ว่าต่อไปคุณจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูดและทำอีกหรือเปล่า


ขอเชิญอ่านได้ ณ บัดนาว



รายการ “Good Morning Thailand” ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เวลา 06.00-07.00 น.วันจันทร์ถึงศุกร์วันที่ 16 เมษายน 2552 ช่วงหนึ่ง "นายสนธิ"ได้กล่าวตำหนิการรายงานข่าวของ"สื่อ"ในเหตุการณ์วันที่ ๑๓ เม.ย.๕๒ โดยเฉพาะ สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส. ที่นำแหล่งข่าวเสื้อแดงที่ส่วนใหญ่เป็น NGO มาสัมภาษณ์

พี่น้องจะสังเกตได้ชัด คุณภาพความกล้าหาญของสื่อระดับโลก ซึ่งเมื่อเทียบกับสื่อโทรทัศน์ไทย และไม่ว่าจะเป็นฟรีทีวีช่องไหน ก็ไม่มีทางจะพัฒนาเทียบเขาได้เลย ช่องทีวีไทย หรือ TPBS พี่น้อง กินเงินภาษีของพวกเราปีละ 2,000 ล้าน แล้วอ้างว่าตัวเป็นทีวีสาธารณะ พี่น้อง กินเงินเดือน กินค่าใช้จ่ายปีละ 2,000 ล้าน แล้วมีพวก NGO นั่งเป็นบอร์ด TPBS มีนายจอน อึ๊งภากรณ์ พี่ชายนายใจ อึ๊งภากรณ์ นั่งอยู่ในคณะกรรมการ มีเงินปีละ 2,000 ล้าน ASTV วิ่งหาเงินเดือนทุกเดือนถ่ายทอด 24 ชั่วโมง ไอ้ทีวีช่องบ้านี่ถ่ายทอด 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนแล้วปิด แล้วก็เอาข่าวต่างๆ มารีรัน นี่มันถลุงเงินภาษีอากรของประเทศ ถลุงเงินภาษีอากรของประเทศผมไม่ว่า แต่ขอให้มีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง

ในช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้นทีวีไทยปล่อยพวกเสื้อแดง ส.ส.เพื่อไทย โกหกออกอากาศ แล้วเน้นสัมภาษณ์แต่พวกนักวิชาการกลางกลวง ริบบิ้นขาวแต่หัวใจเป็นเสื้อแดง ที่ท่องเป็นอยู่อย่างเดียว ไอ้พวกบ้านี่ท่องเป็นอยู่อย่างเดียวพี่น้อง ให้นายกฯ คุณอภิสิทธิ์ยุบสภา ลาออก พยายามหาแง่มุมมาเล่นรัฐบาล เน้นการรายงานข่าวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

ยกตัวอย่างเช่น ใครบ้างที่มาออก นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นายชัยวัฒน์ สถาอนันต์ ที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นนักวิชาการด้านสันติวิธี แต่ไอ้พวกบ้านี่ไม่เคยแก้ปัญหาอะไรให้ประเทศชาติเลย ชอบนัก อหิงสา ชัยวัฒน์ สถาอนันต์ วางฟอร์มว่าตัวเอง หรือว่านายปริญญา เป็นกลาง แต่ไม่เคยออกมาแก้ปัญหาประเทศชาติ เวลาคนเขายิง คนเขาถูกตำรวจยิงตายเป็นสิบๆ คน คุณก็นั่งอมสากกระเบืออยู่ แล้วไอ้ที่พวกเสื้อแดงออกมาเผาบ้านเผาเมืองคุณก็ยังนั่งอมสากกระเบืออยู่ คุณก็บอกว่า ต้องยุบสภา ต้องลาออก ต้องให้นายกฯ อภิสิทธิ์ยุบสภา ลาออก เอ๊ยคุณรับเงินทักษิณ ชินวัตร มาขนาดนั้นเชียวหรือ จนกระทั่งคุณไม่มีปัญญาของความเป็นครูบาอาจารย์ที่จะมาอธิบายเหรอ

ที่ร้ายไปกว่านั้น ไอ้ช่องทีวีบ้านี่ทำข่าวในสถานการณ์วิกฤตที่เสื้อแดงกำลังเผาบ้านเผาเมืองอยู่ ช่องทีวีไทย ทำหน้าที่เสนอความจริงให้ลดความขัดแย้งของสังคมเลย วันจันทร์ที่ 13 เมษายน หลังจากที่พวกเสื้อแดงมันเผาเมืองก่อการจลาจล บีบให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ประมาณ 04.00 น. Thai TPBS เป็นช่องเดียวที่เปิดโอกาสให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. โกหกออกอากาศ โกหกออกอากาศในขณะที่วิกฤตการณ์มันตึงเครียด ลองหลับตาว่ามันกำลังเผาบ้านเผาเมืองอยู่ ไปให้ไอ้นายณัฐวุฒิมันพูดโกหกออกอากาศ ถ้านายณัฐวุฒิมันบอกว่า พี่น้องครับ ในขณะนี้ประชาชนเสื้อแดงถูกทหารยิงตายไปแล้ว 40 ศพ ตรงโน้นๆๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น คุณรับผิดชอบตรงไหนบ้าง Thai TPBS ไทยทีวี คุณรับประทานภาษีอากรของประชาชน ของพวกเราไปปีละ 2,000 ล้าน

อังคารที่ 14 เมษายน ไอ้ทีวีช่องบ้านี่ หลังแกนนำเสื้อแดงประกาศยอมแพ้ Thai TPBS ก็สัมภาษณ์นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน โดยปล่อยให้นายวิทยาโกหกออกอากาศ ว่าเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นเพราะมือที่สาม เห็นหรือยังพี่น้อง

เอาต่อ พุธที่ 15 เมษาฯ รายการเปลี่ยนประเทศไทยของ Thai TPBS ช่วง 3 ทุ่ม ได้เชิญนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือมีฉายาหนูหริ่ง มีนามที่รู้จักกันดีว่า บก.ลายจุด มาออกอากาศเพื่อช่วยชี้ทางออกให้สถานการณ์บ้านเมือง โดย Thai TPBS ขึ้นเครดิตว่าเป็นประธานมูลนิธิกระจกเงา แต่ให้ทัศนะต่างๆ เข้าทางเสื้อแดงและ นช.ทักษิณ ตลอด

เอาล่ะ ให้ผมฉีกหน้ากากไอ้บ้านี่ ไอ้บ้านี่ บก.ลายจุด เห็นไหม เห็นเสื้อไหมในรูป มันก็คือพวกเสื้อแดง มันร่วมกับ PTV ของนายวีระ จตุพร ณัฐวุฒิ จักรภพ มันเป็น นปก.รุ่นที่ 2 นี่คือ นปก.ตัวจริง หลังจากแกนนำรุ่นที่ 1 ถูกจับกรณีบุกจลาจลหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ และมันเป็นคนที่จัดทำสติ๊กเกอร์ "เบื่อม็อบพันธมิตรฯ" และมีกิริยาหยาบคาย ถ่อย สถุล ดูสิดูมันชูนิ้วกลาง เห็นไหม นี่ไงคือคนที่ Thia TPBS เอามาออก เอาคนสถุนอย่างนี้มาออกว่าหาทางออกให้ชาติบ้านเมือง

Thai TPBS ก็เลยกลายเป็น กลายเป็นใครรู้ไหม กลายเป็นเครื่องมือ คนที่บอกว่าเป็นประธานชมรม มูลนิธิบ้าบอ นี่คือเสื้อแดงไง เห็นหรือยัง กินภาษีอากรเราปีละ 2,000 ล้าน

ดูคุณเทพชัย หย่อง หน่อย น่าเสียดาย น่าเสียดายมาก น่าเสียดายจริงๆ คุณเทพชัย หย่อง คุณต้องระวังเรื่องนี้ให้มากๆ นะ เพราะคุณจะเอาความเห็นอีกด้านหนึ่งมา ถ้าคุณเอาความเห็นให้คนได้พูดเท่าเทียมกัน ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณให้คนออกมาใส่ร้าย มันไม่ใช่แล้วคุณเทพชัย ผมอยากให้แก้ แล้วพิธีกร Thai TPBS นะ คุณกรุณา กับคุณนาตยา ก็ใช้ไม่ได้ ถ้าคุณแน่จริงคุณเอาสองฝ่ายมาออกสิ คุณเอา อ.เจิมศักดิ์ คุณพิภพ ธงไชย มายันกับไอ้พวกนี้สิ มายันในเหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นว่าใครผิดใครถูก ใครเผาบ้านเผาเมือง

วันก่อนนี้ Thai TPBS ไปทำรายงานสัมภาษณ์เสื้อแดง แล้วเสื้อแดงให้สัมภาษณ์ผิดๆ แต่คนทำสกู๊ป ผู้สื่อข่าว Thai TPBS ก็ไม่แก้ไขข้อมูลที่ผิด อย่างเช่นเรื่องคนตาย นี่ ไอ้ บก.ลายจุด ใส่เสื้อแดง ชูนิ้วกลาง เป็นพวกทักษิณ ชินวัตรชัดๆ ยังทะลึ่งเอามาพูดออกอากาศช่วยชี้ทางออกให้สถานการณ์บ้านเมือง ปัดโถ... เฮ้อ...

แล้ว Thai TPBS ชอบเอาใครรู้ไหม นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บก.บห.เว็บไซต์ประชาไท ที่หมิ่นสถาบันกษัตริย์ตลอดเวลา มาให้ทัศนะเรื่องสื่อบ่อยครั้ง ประชาไทมันไม่ใช่สื่อ มันเป็นแหล่งที่รวมโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ถูกตำรวจเข้าตรวจค้น และไอ้เว็บไซต์ประชาไทนี่ก่อตั้งโดยนายจอน อึ๊งภากรณ์ และนายจอน อึ๊งภากรณ์ ปัจจุบันก็เป็นกรรมการ Thai TPBS และเป็นพี่ชายนายใจ อึ๊งภากรณ์

พิธีกร เช่นกรุณา บัวคำศรี นาตยา แวววีรคุปต์ ก็เอียงเข้าข้างพวก NGO พวกนักวิชาการกลางกลวง จะเน้นพวกกลางกลวงและพวกเสื้อแดง โชคดีอย่างหนึ่ง พี่น้องครับ ผมฝากบอกคุณเทพชัย ว่าการเปิดโอกาสให้คนพูดเท่าเทียมกัน กับการปล่อยให้คนโกหกออกอากาศนั้นแตกต่างกัน คุณเทพชัยครับ Thai TPBS ที่บอกว่าตัวเองเป็นสื่อมืออาชีพนั้น ต้องแยกแยะให้ออก แล้วชอบพูดนักว่าก่อตั้ง TPBS ให้เหมือน BBC ปุดโถ..... พวกคุณที่อยู่ Thai TPBS คุณอายบ้างหรือเปล่า คุณน่ะไม่มีวันที่จะเป็น BBC ได้เลย ไม่มีวันครับ และคุณใช้ประชาชน เงินประชาชนปีละ 2,000 ล้าน เอาไปละเลงในหมู่ NGO พรรคพวกคุณเอง ผมนี่อยากเสนอให้ยุบ Thai TPBS เสียด้วยซ้ำ ไอ้เงิน 2,000 ล้านบาทนั้น เอามาให้ ASTV ทำ ยังจะช่วยชาติบ้านเมืองได้ดีกว่าเยอะเลย แล้วแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองได้หมด

เอาให้พวกคุณสำเร็จความใคร่ ความเป็นกลางกลวงของพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นไอ้พวกนักวิชาการริบบิ้นขาว ไอ้พวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน หรือไอ้พวกกลางกลวง ไอ้พวกที่แอบ อีแอบ แท้ที่จริงแล้วเป็นพวกเสื้อแดงทั้งสิ้น

เวลาทำข่าว ทำสกู๊ป ก็โน้มน้าวให้คนเข้าข้างพวกกลางกลวง นักวิชาการริบบิ้นขาว หลายครั้งก็ปกป้องเสื้อแดง ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ประเทศชาติเลย นอกจากนั้นแล้ว พวกนี้ยังฉกฉวยซ้ำเติมวิกฤตบ้านเมือง เสนอ Agenda ให้อภิสิทธิ์ยุบสภา โชคดีอย่างพ่อแม่พี่น้อง ท่านผู้ชม เรทติ้ง Thai TPBS มันยังแพ้ ASTV เลย มันต่ำมาก ก็มันไม่ต่ำได้อย่างไรเล่า มันทำมาตั้งนาน มันยังสู้ช่อง 11 ไม่ได้เลย แล้วช่อง 11 ก็ยังสู้ช่องเราไม่ได้เลย ช่อง 5 ช่อง 9 บางครั้งก็สู้เราไม่ได้

น่าเสียดาย คุณเทพชัย ผมว่าคุณต้องแก้ไขเรื่องนี้แล้ว ใช้ไม่ได้เลย ผมนี่จับผิดได้ทุกจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้ บก.ลายจุด ที่มันแสดงความสถุลออกมา ชูนิ้วกลาง

19 พฤษภาคม 2552


“หาญณรงค์ เยาวเลิศ”
มหาสมุทรสุดลึก หยั่งได้
แต่ใจคนยิ่งกว่า


“หาญณรงค์ เยาวเลิศ”หรือ พี่หาญ ของเพื่อนพ้องน้องพี่เอ็นจีโอ รับรู้กันว่า พี่หาญ เป็นเอ็นจีโอ มาตลอดชีวิตการทำงาน ประวัติของพี่หาญ ที่แจ้งต่อสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สป. ก็คือประสบการณ์ทำงานในฐานะเอ็นจีโอ ที่จับเรื่อง “ฐานทรัพยากร”
(ดูรายละเอียด: http://www2.nesac.go.th/nesac/th/about/members_detail.php?did=06100078)
ดังนั้นการได้เข้ามาเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯของหาญณรงค์ก็น่าจะมาจากการอุ้มชู ผลักดันของเพื่อนพ้องน้องพี่ในเครือข่ายเอ็นจีโออย่างปฏิเสธไม่ได้
เครือข่ายพี่น้องที่เคยแสดงพลังช่วยเขาเมื่อคราวมีปัญหากับ พิสิษฐ์ ณ พัทลุง สมัยทำงานอยู่มูลนิธิสัตว์ป่าและพันธ์พืช
ในการต่อสู้บนหน้าสื่อ พิสิษฐ์ อาจตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยเฉพาะการโจมตีเรื่องที่พิสิษฐ์ เปิดร้านอาหารแล้วมีสวนสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหารตา (ดูรายละเอียด:
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=78335)
ภาพที่ปรากฏต่อหน้าสื่อดูราวพิสิษฐ์เอาสัตว์ป่ามากักขังสนองตัณหาวิปริตของคนเมือง แต่ถ้าไปดูในเวปไซด์ของร้านอาหารดังกล่าวก็เป็นอีกเรื่อง(ดูรายละเอียด:
http://www.deratchan.com/)
กระนั้นก็ตาม ข้อมูลที่เปิดจากปากของพิสิษฐ์ถึงปมที่จะต้องวิวาทะกับหาญณรงค์และ สุรพล ดวงแข
"ตอนที่ผมเป็นเลขาธิการครั้งสุดท้าย มอบงานให้คุณสุรพลไปมีอยู่ประมาณ 22 ล้าน แต่พอถึงวันนี้เงินแค่ 1 ล้านบาท พอจะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น อีก 3 เดือนข้างหน้าจะไม่มีเงินจ่ายแล้ว ผมในฐานะประธานจึงต้องแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด ให้องค์กรอยู่รอด สิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำโดยทันที คือการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจในการเซ็นเอกสารสั่งจ่ายเงินทางธนาคาร ส่วนมาตรการสุดท้ายจริงๆ ถ้าจะต้องขายทรัพย์สินขององค์กรบางส่วนก็ต้องยอม..”
และ
“ขอบอกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องคอร์รัปชั่น แต่เป็นการใช้เงินผิดประเภท คือการบริหารงานของเลขาธิการ และระบบบริหารการเงินไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของมูลนิธิ หลายโครงการไม่มีเงิน 15% เข้าสำนักงานกลาง และยังใช้ชื่อองค์กรหาผลประโยชน์ขอการสนับสนุนทางการเงิน แต่ดำเนินการภายใต้ความพอใจของหัวหน้าโครงการ โดยเลขาธิการไม่สามารถควบคุมและไม่บริหารบนหลักการที่ถูกต้อง ไม่มีวินัยในการใช้เงิน เช่นเรื่องของเงินสำรองจ่าย ไม่มีการเคลียร์คืน เป็นต้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนคนเป็นธรรมดา.."
ใครจะบอกว่า กระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯไม่มีการ “ล็อบบี้” นั้น บอกตามตรงว่า “ตีให้ตายก็ไม่เชื่อ”
“โอ้ ลาภ ยศ สรรเสริญ เมื่อเข้าไปหลงติด มันชั่งปิดทางนิพพานปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง” คือ คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
เชื่อว่า หาญณรงค์ก็อยากจะนั่งเก้าอี้ สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯเป็นสมัยที่สอง
แน่นอนว่า การจะได้นั่งเก้าอี้นี้มันต้องมีกระบวนการลงแรง ลงแขก เหมือนนักการเมืองเวลาจะลงเลือกตั้งนั่นแหละ
ใครจะบอกว่า ตัวเองได้มาด้วยเสียงบริสุทธิ์ ตีให้ตายก็ไม่เชื่ออีกนั้นแหละ
เพราะสภาที่ปรึกษาฯนั้น “ล็อบบี้ –ช่วงชิง” กันมาตั้งแต่การเริ่มก่อตั้งองค์กร ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งโอนกันมาจากสภาพัฒน์ฯที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำหน้าที่เลขานุการ รวมถึงตัวคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ
เพียงแต่ในช่วงแรกมี “อานันท์ ปันยารชุน” นั่งสร้างบารมีให้อยู่สองสมัย ต้นทุนทางสังคมของผู้ดีรัตนโกสินทร์ก็เลยทำให้หลายคนไม่กล้าแตะ แม้ผลงานของสภาที่ปรึกษาฯจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
รัฐธรรมนูญปี ๔๐ นั้นออกแบบมามีกลไกสอดรับกันและกัน แต่วันนี้รัฐธรรมนูญ ๔๐ โดยฉีกทิ้ง สภาที่ปรึกษาฯก็อยู่เป็นองค์กรกินภาษีชาวบ้านต่อไป แม้ภารกิจจะซ้ำซ้อนกับอีกหลายหน่วยงานและผลงานจับต้องเอาไปใช้ไม่ได้
อย่าลืมว่า เจตนารมณ์แต่เริ่มแรกคือ สภาที่ปรึกษาฯเป็นเหมือนผิวหนังสะท้อนความรู้สึกของสังคมขึ้นไปยังฝ่ายการกำหนดนโยบายรัฐ แต่รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้กำหนดบังคับว่ารัฐบาลจะต้องทำตาม มันเป็นกลไกที่กำหนดไว้ถ่วงดุลการเมืองแบบพรรคเดียว
แต่วันนี้การเมืองแบบพรรคเดียวคนก็ไม่เอาแล้ว สภาที่ปรึกษาฯจะมีอยู่ไปทำไมมีก็ไม่รู้ได้
ใครจะอ้างว่า สป.ไม่มีเงินเดือน แต่เบี้ยประชุม งบในการศึกษาก็ล้วนมาจากภาษีประชาชนทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ใช้ก็มักเป็นคนจากสายเอ็นจีโอ นี่ยังไม่นับรวมต้นทุนจากหน่วยงานต่างๆที่จะต้องมาคอยอำนวยความสะดวกให้อีกไม่รู้เท่าไหร่
ความจริงเอ็นจีโอที่มีระบบคิดเอียงซ้ายแบบหาญณรงค์น่าจะปฏิเสธ “ระบบ” แล้วลงมาทำงานในเชิงการเมืองภาคประชาชนจะดูสง่างามกว่า
ยอมอดอย่างเสือ ดีกว่า มารับเบี้ยประชุมเล็กๆน้อยๆ ในองค์กรที่มีอยู่ก็เปลืองภาษีประชาชน
ยอมอดอย่าเสือดีกว่าอยู่ในองค์กรใหญ่ นั่งทำงานให้ห้องแอร์ แล้วให้ผู้คนตั้งคำถามว่า “หน้าที่การงานดี ร่ำรวยแล้วแต่ทำไมทำบุญแค่ร้อยเดียว” (ดูรายละเอียด:
http://www.skyd.org/html/activity/boon48_donate.html)

หาญณรงค์อาจตอบกลับ ทำบุญขึ้นอยู่กับศรัทธา นั่นก็ย่อมเป็นสิทธิ แต่หากคนจะมองในอีกมุมตรงข้ามก็ย่อมเป็นสิทธิเช่นเดียวกัน
ในยุค ที่สังคม ตีค่าคน ที่ ความเด่น ความดัง มันทำให้เกิด Hero ได้ง่าย เป็น ประมาณ Accidental hero เหมือนที่ยุคหนึ่ง “สมพงษ์ เลือดทหาร” สร้างบทเรียนให้สังคมไทย จนหน้าแหกกันไปเป็นแถว แต่ไม่นานคนไทยก็ลืมบทเรียนนี้
สังคมที่เห่อกับกระแส ดี เด่น ดัง แบบไม่ลืมหูลืมตาเลยตกเป็นเหยื่อของไฮโซอยากดัง รวมถึงเอ็นจีโออยากไต่เต้า
หาญณรงค์ วันนี้ออกมาประโคมข่าวสร้างกระแสกับการผลักดันพื้นที่ชุ่มน้ำประมาณว่าอยากจะสร้างผลงานให้เข้าตากรรมการ
หาญณรงค์รู้ว่า แม้แต่ประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมไม่ว่าจะจีน ญี่ปุ่น เกาเหลี ก็มีการประกาศพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่เขาก็ไม่ยอมพูดประเด็นนี้
แต่กลับเอาประเด็นเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำเข้าสู่ วิวาทะการพัฒนา ซึ่งมีทางออกเดียวคือ เมื่อมีพื้นที่ชุ่มน้ำก็ไม่เอาการพัฒนา เหมือนเขารู้ว่า ประเด็นความขัดแย้งย่อมเป็นข่าว
หาญณรงค์รู้ดีว่า พื้นที่ชุ่มน้ำนั้นต้องขอการมีส่วนร่วมจากชาวบ้านแบบไม่เลือกสีเลือกข้างแต่เขาก็เลือกจะฟังแต่คนที่อยู่สีเขียว
หาญณรงค์รู้ดีกว่า การประกาศพื้นที่ชุ่มน้ำยังมีหลายขั้นตอน มีหลายทางเลือก และบางทางเลือกก็เป็นการรวมพื้นที่ซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมเข้าไปด้วย แต่เขาก็ประโคมข่าวเหมือนกับข่าวจะประกาศวันนี้พรุ่งนี้โดยไม่ฟังเสียงคนค้าน และเป็นการสื่อสารต่อสาธารณะในลักษณะ เมื่อมีพื้นที่ชุ่มน้ำก็ไม่เอาการพัฒนาอุตสาหกรรม
เราไม่รู้ว่า ทำไม เขาจึงปรากฏเป็นข่าวมากนักในช่วงนี้ แต่เมื่อมาดูวาระตำแหน่งการเป็น สป.ก็ถึงบางอ้อว่า กำลังอยู่ในเทศกาลสรรหา สป.ชุดใหม่
ซึ่งตามกฎหมาย สป.สามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิดสองครั้งติดต่อกัน
มองหาญณรงค์แล้วนึกถึงคำหนึ่งว่า “จะมีไหม ใครสักคนที่ทำงานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน”
นั่งคิดอยู่นาน หาทางออกไม่เจอ
“ห่วย...จังซี๊...มันต้องถอน....”

17 เมษายน 2552

เปิดโฉมหน้าประชาไท ทำไมเข้าข้างม็อบประจวบฯ

เป็นที่คลี่คลายกันเสียที หลังจากงุนงงว่า “เว็ปไซด์ประชาไท” ซึ่งเป็นเหมือนกระบอกเสียงให้ประชาชนคนรากหญ้านั้น มีเจตจำนงใดในการนำเสนอข่าวสารในลักษณะเหมือนให้ท้าย ม็อบชาวบ้าน
บังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่ได้อ่านบทความจาก นสพ.ทีนิวส์ รายปักษ์ และมีการกล่าวพาดพิงถึง
ใช่หรือไม่ว่า วาระที่ผ่านมาของเว็ปไซด์ประชาไท คือการหวังระดมแนวร่วมให้มากที่สุดตามทัศนะ " สร้างเอกภาพในความหลากหลาย "
เอกภาพที่มองว่า ศัตรูของตนคือนายทุน ขุนศึก และศักดินา
ขอเชิญอ่านบทความที่ จำต้องคัดลอกมาจากพ้องมิตรในแวดวงสื่อมวลชนฉบับเต็ม


ขบวนการสาธารณรัฐ
โหมไฟเร่งภาวะสุกงอม

ถึงเวลานี้ คงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอ้อมค้อม เพราะสถานการณ์พัฒนามาจนถึงขั้นหวังให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อของคนในชาติ เอาซากปรักหักพังของประเทศเป็นเครื่องต่อรอง
ในการ “โฟนอิน”ของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร”แทบจะทุกเวทีของคนกลุ่ม “เสื้อแดง” ปากก็พร่ำบอกแต่ว่า “จงรักภักดี” , “รักพระเจ้าอยู่หัว” แต่พฤติกรรมหลังเวที ทุกลมหายใจเข้า-ออกเวลานี้ ของ “นช.ทักษิณ” กลับจาบจ้วงล่วงละเมิด อีกทั้งยังสนับสนุน ส่งเสริม ยุทธศาสตร์“สร้างเอกภาพในความหลากหลาย” ของเหล่าบรรดา “แนวร่วมขบวนการสาธารณรัฐ”เพื่อทำลาย “สถาบันพระมหากษัตริย์”
“นช.ทักษิณ” บอก จงรักภักดี แต่ กล่าวหา ว่าร้าย “องคมนตรี” ซึ่งเป็นคณะบุคคลที่ถวายงานใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ เป็นบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยพระราชอัธยาศัยของบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
“นช.ทักษิณ” บอก “รักพระเจ้าอยู่หัว” แต่ปล่อยหรือ “ให้ท้าย” แกนนำเสื้อแดงคนสำคัญที่มี “ทัศนคติอันตราย”อย่าง “จักรภพ เพ็ญแข” ตีฝีปากด้วยถ้อยคำอย่าง “ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้...”
“นช.ทักษิณ”ปล่อยให้ “วีระ มุสิกพงศ์” ที่เคยเหิมเกริม ถึงขนาดบอกว่า ถ้าเลือกเกิดได้จะเลือกเกิดใจกลางพระมหาราชวัง เป็นพระองค์เจ้าวีระ เวลาเที่ยงก็เข้าห้องเย็น เสวยเสร็จก็บรรทม ตื่นอีกทีบ่ายสามโมง หกโมงครึ่ง เสวยน้ำจัณฑ์” ออกมาพูดถึงแนวทาง “ราชประชาสมาสัย”เพื่อหาทางออกให้กับ นช.ทักษิณ” รวมถึงการเพิกเฉยให้ “ใจ อึ๊งภากร” แนวร่วมเสื้อแดง ออก “แถลงการณ์แดงสยาม” (red siam manifesto) กล่าวร้ายต่อ “ในหลวง”
“นช.ทักษิณ” บอกจงรักภักดี แต่กลับปลุกระดม ผู้คนให้ “ล้างประเทศ” ล้ม “ระบอบอำมาตยาธิปไตย” ซึ่งเป็น “วาทกรรม"(Discourse) ที่ “กลุ่มต้านสถาบัน” ประดิดประดอยขึ้นเพื่อโจมตี-ล้มล้าง “ระบบราชการ” (Bureaucracy) ซึ่ง “สมเด็จพระปิยะมหาราช” ทรงปฏิรูป เป็น “กลไก” สร้าง “รัฐชาติสมัยใหม่” นำพาประเทศรอดพ้นภัยจักรวรรดินิยม หรือปัจจุบันคือ “ทุนนิยมสามานย์” ที่ “นช.ทักษิณ” และบรรดาสาวก “แอบอิง”
“นช.ทักษิณ” ซึ่งอ้างว่า ต่อต้าน “เผด็จการซ่อนรูป” คงลืมไปว่า ผู้คนยังจดจำภาพที่ “นช.ทักษิณ” ยืมกุมมือ พินอบพิเนาต่อ “พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์” ประธาน รสช.เพื่อจะได้ “สัมปทานกิจการโทรศัพท์มือถือ”
“นช.ทักษิณ” บอกรักพระเจ้าอยู่หัว แต่กลับหลงใหลได้ปลื้มไปกับประวัติศาสตร์การก่อตั้งสาธารณรัฐ หรือกระทั่งมีอาการ “หัวใจพองโต” เมื่อเหล่าสาวกเชิดชู ยกตัวขึ้นชั้นเป็น “ประธานาธิบดี”
“นช.ทักษิณ” มุ่งมั่นหรือจะแก้ตัวว่ามันเป็นเรื่อง “บังเอิญ” แต่มันก็คงเป็นเรื่อง”บังเอิญอย่างร้ายกาจ” ที่ ประวัติการก่อตั้ง“พรรคไทยรักไทย” เมื่อปี ๒๕๔๑ เลือกเอาวันที่ ๑๔ กรกฎาคม เป็นวันก่อตั้ง ทั้งๆที่รู้ว่า มันเป็น “วันชาติฝรั่งเศส” เป็น “วันสัญลักษณ์”ของการโค่นล้มระบอบกษัตริย์และสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ
การโฟนอินกับบรรดาสาวกเสื้อแดง นช.ทักษิณ ในช่วงหลังๆ เริ่มเผยเป้าหมายว่า หวังยกระดับการชุมนุมเป็น สงครามประชาชน นช.ทักษิณ เอาการปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นต้นแบบ เขาพูดถึง “เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ” อันแปลมาจาก คำขวัญประจำชาติของฝรั่งเศส Liberté, Égalité, Fraternité ซึ่งก็มีต้นธารมาจากคำขวัญเมื่อครั้งปฏิวัติล้มสถาบันกษัตริย์ของฝรั่งเศส ว่า Liberté, Égalité, Fraternité, ou la Mort!- "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ หรือความตาย"

๑๙ กันยา ๒๕๔๙ “ป่าช้าแตก”
เปิดตัว ศูนย์การนำล้มสถาบัน

ถ้าอ้างอิง ถ้อยคำของ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ถึง การดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของกระบวนการ “ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” เมื่อคราวกล่าวปาฐกถา เรื่อง “ยุทธศาสตร์กู้ชาติ และเข็มทิศใหม่เพื่อผ่าทางตันการเมืองไทย” และมีการขยายความ ในหนังสือ “แนวทางประเทศไทย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิถี การต่อสู้เอาชนะภัยความมั่นคงของชาติ” ซึ่งแจกในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิดของตนเองว่า แม้รัฐไทยจะเอาชนะในสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่มีกลุ่มบุคคลผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ดื้อรั้นบางกลุ่มหันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมแทนอย่างเต็มที่ โดยพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น ชุบตัวในสถาบันวิชาการ เข้าร่วมทำเศรษฐกิจทุนนิยม เข้าร่วมถืออำนาจรัฐยุยงให้ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายทุนทำผิดให้มาก ๆ จึงมีการกล่าวกันว่า ปัจจุบันมีขบวนการบ่อนทำลายประเทศโดยใช้ระบบเผด็จการรัฐสภาเป็นเครื่องมือดำเนินยุทธวิธีแนวร่วมเพื่อก่อสงครามกลางเมืองเพื่อเปลี่ยนรูปของประเทศจากราชอาณาจักรไปสู่สาธารณรัฐ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นอาวุธหลัก
ข้อมูลของพล.อ.ชวลิต คือการยืนยันในอีกทางหนึ่ง แต่จากการประมวล และกรองทิศทางข่าวสารอย่างรอบด้านและทุกช่องทาง ยืนยันได้ว่า การเคลื่อนไหวนับแต่จุดเล็กๆด้วยการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติอันเนื่องจากความเสื่อมถอยของสถาบัน หากแต่เป็นเพราะขบวนการที่ไม่สมหวังในอำนาจและผลประโยชน์ที่ตนเองต้องการ มีความเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบและมีการจัดตั้ง
เบื้องหน้าเบื้องหลัง ที่พอจะเป็นลายแทงให้ตามรอยกลุ่มคนซึ่งเป็น “ศูนย์การนำ”ประกอบด้วยดังนี้
๑.อดีตคอมมิวนิสต์ที่มีบทบาททางวิชาการ ทางการเมืองในปัจจุบันและมีอีกบางส่วนเป็นกลุ่มพลังเคลื่อนไหวทางสังคม เช่นในองค์กรพัฒนาเอกชน และกลุ่มองค์ที่อ้างว่าทำงานด้านประชาสังคม (Civil Society) หรือกระทั่งในแวดวงสื่อมวลชน
“คำนูญ สิทธิสมาน” ส.ว.สรรหา เคยตั้งข้อสังเกตกับความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้และอาจจะทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นก็คือ ในกรณีการโหมกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศเนปาลที่กลุ่มเหมาอิสต์ล้มระบอบกษัตริย์ว่า
“ไม่ใช่ครั้งแรกที่การเปลี่ยนแปลงในประเทศเนปาลตกเป็นข่าว และเข้ามามีบริบทพิเศษบางประการในประเทศไทย มันเริ่มต้นมาตั้งแต่อย่างน้อย ๆ ก็เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 แล้วทั้งในทางเปิดและในทางปิด !”
ข้อมูลของ “คำนูญ” ตั้งข้อสังเกตกับหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2549 ซึ่งนำเสนอเรื่องประจำปกว่า “Case study กรณีเนปาล” โดยเชื่อมโยงให้เห็นว่า “นักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนคุมเนื้อหาหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ที่เคยเข้าป่าจับปืนสมาทานลัทธิเหมามาก่อนมีเจตนาซ่อนเร้นพิเศษอะไรหรือไม่” และ “ต้องไม่ลืมอีกเช่นกันว่าพรรคการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ที่เติบโตขึ้นมาอย่างพลุ นอกจากมันสมองและกระเป๋าสตางค์ของท่านแล้ว ยังมีฝีไม้ลายมือชั้นเชิงของลิ่วล้อที่เป็นอดีตเหมาอิสม์ตัวกลั่นรวมอยู่ด้วยอีกไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในทางปิด – ก็กรณีที่มีข่าวเล่ากันว่ามีเสียงพูดในก๊วนกอล์ฟอย่างร่าเริงเหิมเกริมว่า...“ระวังจะเป็นอย่างเนปาล !” ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้พูดเป็นใคร เป็นนายใหญ่ผู้มั่งคั่ง หรือเป็นลิ่วล้ออดีตเหมาอิสม์อารมณ์ค้างที่อกหักจากการไปจับปืนร่วมรบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเมื่อ 30 กว่าปีก่อน
\๒.ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งนักวิชาการและนักการเมืองเช่นกัน คนกลุ่มนี้ มีอารมณ์ตกค้าง ของความจงเกลียดจงชัง เพราะคิดว่า คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา คือคนที่อยู่สูงกว่า กองทัพ ในกลุ่มนี้ขอสังเกตความเคลื่อนไหวและระบบคิดของ ธงชัย วินิจจะกุล, สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล เป็นอาทิ
๓.ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตนักการเมือง พวกนี้อ้าง “ประชาชนมาก่อน” ในเวลาหาเสียง แต่ยามเสวยสุข ประชาชนมาทีหลังเสมอ คนกลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอุดมการณ์ หากแต่พวกเขาอาชีพเป็น “นักเลือกตั้ง” ที่มี “จิตสำนึกศักดินา” (จะอรรถาธิยายต่อไป) คนกลุ่มนี้เป็นเครื่องมือในการระดมคนจากพื้นที่เลือกตั้งของตนเองให้เข้าร่วมชุมนุม
๔.กลุ่มปัญญาชนรุ่นใหม่ ซึ่ง ภาษาวิชาการเรียกพวก “Post Modern” คนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานชนชั้นกลาง ได้รับการ “ผลิตซ้ำทางความคิด” ประสบการณ์ต่อสู้ทางการเมืองยุค ๑๖และ ๑๙ แต่พวกเขามี “Philosophy” แค่ “วิพากษ์และตั้งคำถาม” สามารถ “มั่ว” เข้าไปได้ทุกเรื่อง แต่ไม่มีการ “เสนอทางออก” พวกเขาพยายามยกระดับเป็น School of thought แต่ยังขาดฐานทาง “องค์ความรู้” คนกลุ่มนี้อาจเป็นพวกนิยมลัทธิมาร์กซ์ แต่ก็ไม่นิยมการผลิต ในความหมาย Mode of Production บางทีพวกเขาอาจด่าทุน แต่ก็ดูหนัง Hollywood ชื่นชอบวิถีชีวิตอเมริกันชน บางทีพวกเขาบอกรักผู้ยากไร้ แต่ก็ทำตัวเป็นสายลมแสงแดด และเป็นส่วนหนึ่งของ “ห้วงโซ่การบริโภคนิยมอย่างบ้าคลั่ง” คนพวกนี้ มีทั้งกลุ่มคนที่ “มีปมทางจิต”อาจเป็นลูกหลานเศรษฐีใหม่ที่พยายามหา ประสบการณ์”ขบถ” พวกนี้อาจนับเป็นพวก “หัวใจอยู่ซ้าย แต่กระเป๋าสตางค์อยู่ขวา” หรือเป็นได้แค่”ปีกซ้ายไร้เดียงสา” แต่ปัญหาก็คือคนกลุ่มนี้เริ่มเข้าไปอยู่ในแวดวงอาชีพต่างๆ ดังกรณีของ เว็ปไซด์“ฟ้าเดียวกัน” , “ประชาไท” หรือ กรณีที่เห็นชัดก็คือ เส้นทางชีวิตของ “ธนาธร จึ่งรุ่งเรืองกิจ” หลานของ “สุริยะ จึ่งรุ่งเรืองกิจ” รวมถึงกรณีของ “โชติศักดิ์ อ่อนสูง” ผู้ต้องหาคดี “ไม่ยืนเพลงสรรเสริญ”
“ศูนย์การนำ” แบ่งคร่าวๆ ๔ กลุ่มนี้แหล่ะ ที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เรียกว่า “ขบวนการสาธารณรัฐ”
พวกเขาสะสมพลัง ซุ่มซ่อน รอคอย “โอกาส” หรือ “Window of change” และพวกเขาก็ได้โอกาสในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เมื่อ คมช.ขับรถถังออกมาล้มรัฐบาล นช.ทักษิณ
ในทางยุทธศาสตร์นี่คือจังหวะพล็อตเรื่องที่สมบูรณ์ เป็นจังหวะที่พวกเขา “คืนชีพ” และเป็นการคืนชีพในสภาพที่เรียกว่า “ป่าช้าแตก”
การเคลื่อนไหวเป็นไปในท่วงทำนอง “ผีเน่า-โลงผุ” และทะลักออกมาอย่าง “ไร้ระเบียบ” พวกเขารู้ดีว่า คนกลุ่มนี้เป็นศูนย์การนำที่มีบุคลิกพิเศษคือ “ใหญ่คับเสื้อ” ไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ ปล่อยให้แสดงออกเต็มที่ แต่ภายใต้ความไร้ระเบียบดำเนินไปในสิ่งที่แนวร่วมของพวกเขาอย่าง “สำนักคิดไทยใหม่” เรียกมันว่า "ยุทธศาสตร์หนึ่งเดียว ยุทธวิธีหลากหลาย" และ " สร้างเอกภาพในความหลากหลาย "

ยุทธศาสตร์หนึ่งเดียว ยุทธวิธีหลากหลาย
ถ้าอ้างอิงจาก แถลงการณ์ของ “ใจ อึ๊งภากรณ์” เป้าหมายสูงสุด ของการเคลื่อนไหว คือ ระบบสังคมนิยม และถ้าจะว่าอย่างถึงที่สุดก็คือ การมีผู้นำเป็น “ประธานาธิบดี”
ขณะที่ยุทธวิธีหลากหลายหากประมวลความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงและแนวร่วมตามที่กล่าวมาข้างต้นก็จะเห็นปรากฏการณ์การโจมตี ทั้งสถาบันโดยตรง และมุ่งเน้นไปที่ฐานของโครงสร้างคือ กองทัพ ที่มีคำประกาศว่า “ข้าพระพุทธเจ้า จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต” รวมถึงการโจมตี “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”
“ศูนย์การนำ” ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการทำหน้าที่ “ปัญญาชนแถวหน้า” อธิบายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เพื่อขยายผลในเชิงวิชาการชี้ให้เห็นความไม่ชอบธรรมของสถาบันฯโดยขยายผลทั้งในและต่างประเทศ
ในเชิงความเคลื่อนไหว คนกลุ่มนี้พยายามหยิบยกประเด็นที่จับต้องง่ายและเห็นชัดเพื่ออธิบายกับมวลชนเช่น การโจมตีสถาบันว่า เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดดังกรณีรายงาน ๑๐ อันดับราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของนิตยสาร Forbes การโจมตีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ของ เว็ปไซด์ Asia sentinel
เว็ปไซด์ของกลุ่มแนวร่วม โหมประโคมเผยแพร่ โดยฉากหน้าอ้างความเป็นวิชาการ แต่จิตใจส่วนลึกพวกเขาล้วนหวังผลการเปลี่ยนแปลง
ยกตัวอย่างง่ายๆ ภายใต้ “วาระซ่อนเร้น” ของการนำเสนอประเด็นพระราชทรัพย์ของสื่อตะวันตก พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งสิ่งที่จะ “ปั้นเรื่อง” ต่อไปได้ว่า ความร่ำรวยของกษัตริย์ไทย มีตัวอย่างใด ครั้งใดที่กษัตริย์ไทยทรงดำรงพระชนม์ชีพหรูหราสมกับความร่ำรวยที่ฝรั่งตาน้ำข้าวจัดอันดับหรือไม่
พสกนิกร ชาวไทยได้รับรู้แต่วัตรปฏิบัติแห่งความพอเพียง รับรู้ถึงราชกิจยวัตรแห่งการย่ำพระบาทไปยังพื้นที่กันดารที่สุดเพื่อดับทุกข์เข็ญประชาราษฎร
พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้กับเหตุการณ์ เมื่อครั้งที่สยามต้องเสียดินแดน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ ๓ ตุลาคม ๒๔๓๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ครั้งนั้น ฝรั่งเศสยังได้เรียกเงินค่าเสียหายจากสยาม ๑ ล้านบาท ทำให้เจ้านายฝ่ายในที่ต้องขายสมบัติของตระกูลเพื่อนำเงินมาถวาย และรัชกาลที่ ๕ เองก็ทรงนำ “ถุงแดง” หรือ เงินพระคลังข้างที่ ออกมาจ่ายค่าปรับ
แผ่นดินไทยที่คงความเป็นเอกราช มีสิทธิเสรีภาพตราบทุกวันนี้ เพื่อให้ข้าแผ่นดินบางกลุ่มกลับมาล้มล้าง อย่างนั้นหรือ ?

“นช.ทักษิณ”-สาวก
มองไม่เห็นธรรมแห่งกษัตริย์

กลุ่มแนวร่วมที่รณรงค์เรื่อง Free Speech หรือแม้แต่การณรงค์ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ มักโหมประโคมข่าว ทั้งในและต่างประเทศ เมื่อมีผู้ต้องหาคดีหมิ่น แต่พวกเขาแทบจะไม่ให้น้ำหนักในการนำเสนอข่าวเลย เมื่อถึงที่สุดของคดี ที่ผู้ต้องหาเหล่านั้นได้รับการพระราชทานอภัยโทษ
พวกเขาจะนำเสนอละครชีวิตที่มีพล็อตเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา เมื่อ “แฮรี่ นิโคไลเดส” นักเขียนออสเตรเลียถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่วันที่ “แฮรี่” ได้รับพระราชทานอภัยโทษและเนรเทศออกนอกประเทศ พวกเขาเสนอข่าวนี้ในพื้นที่กรอบเล็กๆ
พวกเขาแทบจะปิดหูปิดตากับพระราชดำรัสของในหลวงที่พระราชทานเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ว่า
“…The King can do no wrong” คือ การดูถูกเดอะคิงอย่างมาก เพราะว่า เดอะคิงทำไม Can do no wrong ไม่ได้ Do wrong แสดงให้เห็นว่า เดอะคิงไม่ใช่คน แต่เดอะคิงทำ Wrong ได้”
และ พวกเขาคงแกล้งไม่ได้ยินประโยคของพระราชดำรัสว่า “...ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่า พระมหากษัตริย์เป็นคนไม่ดี อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนที่จั๊กจี้ ใครว่าไรซักนิดก็บอกให้เข้าคุก ที่จริงพระมหากษัตริย์ ไม่เคยบอกให้เข้าคุกตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนๆเป็นกบฏก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ รัชกาลที่ ๖ ท่านไม่ลงโทษ ไม่ได้ลงโทษผู้ที่เป็นกบฏ มาจนถึงต่อมารัชกาลที่ ๙ ใครเป็นกบฏก็ไม่เคยมีแท้ๆ ที่จริงก็ทำแบบเดียวกันไม่ให้เข้าคุกให้ปล่อยหรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ให้ปล่อยถ้าไม่เข้าก็ไม่ฟ้อง เพราะเดือดร้อนผู้ที่ถูกด่า เป็นคนเดือดร้อน”
“นช.ทักษิณ” จะปฏิเสธอย่างไรเมื่อวิทยุชุมชนในเครือข่ายของพวกเขาทุกวันนี้ก็ออกอากาศด้วยเนื้อหาล่วงละเมิดพระองค์ท่าน ตลอดเช้าสายบ่ายเย็น
เราไม่อยากกล่าวหาว่า “นช.ทักษิณ” ยัดเยียดอะไรใส่สมองพวกเขาเหล่านั้น แต่สิ่งน่าพิจารณาคือ คำสารภาพของ “สุวิชา ท่าค้อ" มวลชนของ “นช.ทักษิณ” ซึ่งถูกจับคดีหมิ่นสถาบันฯ ที่ว่า “ก่อนหน้านี้เขาออกมาต่อต้านการรัฐประหาร และเข้าใจผิดจึงได้ก้าวล่วงพระองค์ ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ได้อธิบาย เขาจึงเข้าใจ และรู้สึกเสียใจ”
หากได้มีโอกาสพิจารณาบทความของ “ชัชชรินทร์ ไชยวัฒน์” ซึ่งเขียน ใน “จุดไฟในนาคร” ของ “อาทิตย์ ข่าวพิเศษ ปีที่๑๖ ฉบับที่ ๘๐๘(๙๙) อาจอธิบายปรากฏการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มคนที่ต้องการล้มล้างสถาบันได้ว่า พวกเขาเหล่านั้น มองสถาบันกษัตริย์ด้วยสายตาที่ “ห่างไกล” และ “ไม่อาจเข้าใจ” ได้ถึง “ธรรมะของพระมหากษัตริย์” โดยเฉพาะปฐมบรมราชโองการว่า
"..เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม"
คำถามง่ายๆ ที่ชัชรินทร์ตั้งว่า “ ในอดีตกาลที่ผ่านมา หากว่าการเป็น"พระราชา"นั้น เป็นตำแหน่งแห่งการเสวยสุข อันเนื่องมาจากความเขลา ของบรรดาผู้ใต้ปกครอง หรืออาณา ประชาราษฎร์แล้วไซร้ ระบอบการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ คงจะไม่ดำรงสืบต่ออย่างมั่นคงเป็นระยะเวลาอันยาวนานนับเป็นหลายศตวรรษ”
“ชัชรินทร์” ระบุอีกว่า “...การฆ่าฟันศัตรูภายในชาติด้วยคำกล่าวว่า "เพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์"การสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เริ่มต้นด้วยความ"เกลียดชัง"ด้วยความ"หวาดระแวง" และ "ด้วยความริษยาอาฆาต"นั้น..หาใช่การเดินตามรอยพระยุคลบาทไม่ และด้วยเหตุที่บางครั้งบางบุคคล..ก่อกำเนิดความรักพระมหากษัตริย์บน"ความเกลียดชัง"บุคคลอื่นๆ...สถาบันพระมหากษัตริย์มิอาจที่จะปฏิเสธ"ทัศนะแห่งความแตกต่าง"ของบรรดาพสกนิกรใดๆได้เลย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงกล่าวย้ำหลายต่อหลายครั้งให้พสกนิกรของพระองค์ยึดมั่นอยู่ใน"วิถีทางแห่งธรรม" ให้ฝักใฝ่ใน"สันติ" ให้มีความรักความเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งในสังคมประเทศและแม้กระทั่งในสังคมโลก
ความพยายามที่จะเป็นที่รัก,เพื่อใกล้ชิด,เพื่อเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย..ฯลฯโดยปราศจาก"เมตตาธรรม"ต่อผู้อื่นนั้นหาใช่วิถีทางที่สอดคล้องกับ"ธรรมะแห่งองค์พระมหากษัตริย์"ไม่
บุคคลใดก็ตาม..ที่ยึดมั่นอยู่กับวิถีทางแห่งธรรม บุคคลนั้นย่อมเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย แห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงประกาศยึดมั่นอยู่ใน"ทศพิธราชธรรม"มาโดยตลอด
เราอาจจะมองพระมหากษัตริย์จากความเป็น"มนุษย์"ได้..แต่เราไม่อาจมองพระมหากษัตริย์แยกออกจากสถานะ และ"ธรรมะ"ที่พระองค์ทรงรักษา จนเป็นพระราชจริยาวัตรอันมั่นคงจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นี้
แน่นอนว่า..สังคมย่อมมีการเปลี่ยนแปลง และบ่อยครั้งที่ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น อาจจะพุ่งเป้าหมายถึงสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความไม่เข้าใจ หรือด้วยความ"ไม่รู้" …”
“นช.ทักษิณ” อาจถอดบทเรียน คัมภีร์นักปกครอง ของ Antoino Gramsci ที่มองว่า ฝูงชนคือลาโง่ “นช.ทักษิณ” จึงนำ “อวิชา-ความไม่รู้” ยัดใส่สมอง และอาจถึงขั้น “พาคนไปตาย” เพียงเพื่อตนเองได้อำนาจ หรือไม่ ?

เลือดขัตติยะ- จิตสำนึกศักดินา
มาถึงบรรทัดนี้ วาทกรรม เชิดชู “ทุนนิยมก้าวหน้า” กล่าวหา“ศักดินาล้าหลัง” ปรากฏให้เห็นจุดอ่อนและข้อบกพร่องเชิงองค์ความรู้เป็นอย่างยิ่ง
เพราะในความเป็นจริงทุกอย่างกลับตาลปัตร
ดังที่กล่าวการสืบสายเลือดขัตติยะ หากแต่มุ่งในทางเสวยสุข คงไม่สามารถดำรงสืบต่ออย่างมั่นคงเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
นอกเหนือจากธรรมะแห่งพระราชา แล้ว การปรับตัวของสถาบันเพื่อความเป็น “สากล” ก็มีอยู่เป็นพลวัตร (Dynamic) ดังที่ “นิธิ เอียวศรีวงศ์” เองก็ยอมรับว่า การจัดงานฉลองครองราชสมบัติครบ 60 ปี และทูลเชิญกษัตริย์จากทั่วโลกมาร่วมงาน คือการประกาศความเป็น "สากล" ของสถาบันพระมหากษัตริย์
การที่ “สหประชาชาติ” ขนานพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ทรงเป็น"พระมหากษัตริย์นักพัฒนา" สดุดี “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็น “ทฤษฎีโลก” นั่นก็คือความเป็น “สากล” ของสถาบันพระมหากษัตริย์
ในทางกลับกันทุนนิยม ปัญญาชนหัวก้าวหน้า ในสังคมไทยกลับเดินเข้าสู่ “กับดัก”ประชาธิปไตยที่มีความหมายเพียงแต่การ “เลือกตั้ง” และสยบยอมกับศูนย์การนำที่มี “จิตสำนึกศักดินา”
ออกจะเป็นเรื่องน่าขัน ที่พวกเขาโจมตี “ศักดินาล้าหลัง” แต่ไม่ปฏิเสธ “ประชาธิปไตย” ที่ มี “นักเลือกตั้ง” ซึ่งมีวิวัฒนาการจากการเป็นนักการเมืองที่โกงกินหรือถอนทุนคืน ด้วยการกินตามน้ำ กินค่าหัวคิว มาสู่การ “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย”
พวกเขาไม่ปฏิเสธ การเมืองที่ถูกผูกขาดโดยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เช่น ถ้าจังหวัดเชียงใหม่ จะมีแต่คนนามสกุล “ชินวัตร” หรือ เครือญาติ เป็นนักการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จนถึงระดับชาติ พวกเขาไม่ปฏิเสธ หากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีถูกส่งต่อ จาก “นช.ทักษิณ”มายัง “น้องเขย” อย่าง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์”
ไม่ใช่เฉพาะ “นช.ทักษิณ” บรรดานักเลือกตั้งภายใต้ระบบประชาธิปไตย สามารถส่งต่ออำนาจการเมืองไปยังลูกหลานพี่น้องในตระกูล
“สภาสูง”กลายเป็น “สภาผัว-สภาเมีย” อดีต ๑๑๑ นักการเมือง มี “นอมินี” ตั้งแต่ “คนขับรถ” ยัน บรรดา “กิ๊ก” ขึ้นมานั่งทำเนียบนั่งสภา
“ศักดินา” ยุค Feudal มีแค่ตัวเลขจำนวนที่ดินที่ถือครองแต่ไม่มีจำนวนที่ดินจริง ตรงกันข้ามศักดินาทุนนิยมสามานย์ มีที่ดินชนิดที่เรียกว่า บางครั้งเผลอสั่งลูกน้องให้ติดต่อซื้อ ทั้งๆที่ เป็นที่ดินของตนเอง
นี่คือความเป็นจริงที่สาวก “นช.ทักษิณ” ไม่เปิดรับ

รัฐบาล-ทหาร ต้องแสดงความจงรักภักดี
แม้ “นิธิ เอียวศรีวงศ์” จะวิจารณ์ว่า รัฐบาลและกองทัพปกป้องสถาบันโดยเน้นแนวทางการแสดงออกใช้อำนาจทางกายภาพเป็นด้านหลัก และการใช้แนวทางนี้ก็ไม่อาจเป็นแนวทางที่จะปกป้องการละเมิดสถาบันได้นั้น แต่ปัจจุบันเราก็แทบจะมองไม่เห็นการใส่ใจจาก ทั้งรัฐบาลและกองทัพจะมองเห็นภัยคุกคามดังกล่าวหรือไม่ ดังนั้นจึงยากที่จะก้าวพ้นไปสู่การหาหนทางปกป้องด้วยอำนาจในเชิงวัฒนธรรม, เศรษฐกิจ และสังคม
“อภิสิทธิ เวชชาชีวะ” ในวันที่รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๗ บอกว่า “ผมรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ผมสำนึกเสมอว่าผมเกิดมาเป็นข้าแผ่นดินต้องสนองคุณแผ่นดิน สำนึกตลอดว่า แผ่นดินร่มเย็นตลอดมาเพราะพระบารมี ขอยืนยันตรงนี้ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลที่ผมเป็นผู้นำจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง”
แต่เมื่อได้เสวยอำนาจ อภิสิทธิ์แสดงท่าทีต่อกรณี“นช.ทักษิณ”และกลุ่มเสื้อแดงกระทำการละเมิดสถาบันฯ เมื่อครั้งตอบกระทู้ถามกรณีหมิ่นสถานบันของ “นายใจ อึ๊งภากรณ์” ว่า
“ผมจะไม่พยายามพูดเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้มากเกินไป เพราะไม่ต้องการให้มีการนำไปขยายผลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ที่อาจเกิดผลในแง่ลบมากกว่าผลดี ยอมรับว่าหนักใจ และไม่ประมาท”
การตำหนิ ติเตียน ยังมีไปถึงผู้นำกองทัพ ซึ่งกล่าวปฏิญาณ “จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต” แต่กลับปล่อยให้คนมุ่งร้ายต่อสถาบันดำเนินกิจกรรมต่อเนื่อง พวกเขาบอกเป็น”ทหารพระราชา” แต่สงวนตัวอยู่ในที่ตั้ง ปล่อยให้ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์และองคมนตรี อย่าง พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์, นายอำพน เสนาณรงค์ ต้องลดตน ต่อสู้กับคนที่เป็นเพียง “นักโทษหนีคดี”
การไม่รู้เท่าทันหรือตระหนักถึงภัยของ “ขบวนการสาธารณรัฐ” จึงนับเป็น สัญญาณอันตราย อย่างยิ่ง !

อ่านแล้วประชาไทจะตอบก็ไม่ว่ากัน

10 เมษายน 2552

เมื่อฝ่ามือไม่อาจปิดฟ้า



สังคมแห่งการสร้างภาพ มันทำให้คนดีๆกลายเป็นผีห่า คนชั่วช้ากลายเป็นเทวดา
คำถามคือ เราอยากให้สังคมหน้าไหว้หลังหลอก กันอย่างนี้เหรอ
“วิฑูรย์ บัวโรย” วันนี้ถึงคิวขึ้นฟังคำพิพากษา !!

นำเครื่องประหารหัวสุนัข!


“เปาบุ้นจิ้น” มีเครื่องประหารสุนัขไว้สำหรับ “คนขี้คร่อก” ที่ทำผิดคิดชั่ว “วิฑูรย์ บัวโรย” เป็นสามัญชนคนธรรมดาเมื่อทำผิดก็คงต้องเอาหัวพาดเครื่องประหารหัวสุนัข

เปิดมีด !

ข่าว นายกิตติคุณ แจ่มครุฑ ชื่อเล่น เจมส์ อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 169 หมู่ 1 ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้าแจ้งความกับร.ต.ท.พิสุทธิ์ สุกระศร สารวัตรเวร สภ.บางสะพาน ว่า ถูกนายวิฑูรย์ บัวโรย แกนนำกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ทำร้ายร่างกายโดยการตบหน้าและใช้อาวุธปืนยิงข่มขู่ บริเวณร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ เป็นข่าวที่เผยธาตุแท้แค่น้ำจิ้มของวิฑูรย์เท่านั้น
ไม่น่าเชื่อเมื่อข่าวชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ตามหน้าสื่อก็มีคนโพสข้อความแฉเบื้องลึกของคนที่ฉากหน้าคือนักต่อสู้

ผู้หวังดีโพสต์ข้อมูลที่น่าสนใจอาทิ ของ “แก้ว บางสะพาน” เป็นไงลองไปคลิ๊กเข้าไปอ่านกันเอาเอง ส่วนความเห็นของ “ไอ้พวกเกรียน” อย่าไปสนใจมัน
ข่าวตามหน้าสื่ออาจใช้คำสุภาพเล่าเรื่อง แต่ “เว็ปข่าวใต้ดิน” ขอเล่าเรื่องแบบดิบๆ ไม่มีใส่สี ตีไข่

นายกิตติคุณ หรือ ไอ้เจมส์ ก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป อยู่กับญาติ เพราะพ่อแม่หางานทำในพื้นที่ไมได้จึงต้องเป็นแรงงานย้ายถิ่น
อันนี้หักล้างสิ่งที่แกนนำม็อบอนุรักษ์เคยโม้ว่า คนบางสะพาน มีรายได้กันคนละเป็นแสนต่อเดือน


ลูกไม่อยู่กับพ่อแม่มันก็มีซนบ้างตามประสา แต่ความซนของมันดันไปสร้างความเปรี้ยวตีนให้กับ “วิฑูรย์”

ไอ้เจมส์ เล่าว่า เกิดเมื่อเวลา 18.00 น. ของวันที่ 4 เมษายน 2552 ขณะซิ่งมอเตอร์ไซด์ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปทางโรงเรียนดอนสำราญ ก็ให้บังเอิญเจอเพื่อนที่เพิ่งเลิกงานมาจึงได้ขับรถตามเพื่อนกลับมายังอู่ซ่อมรถซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

อู่ซ่อมรถดันไปอยู่ใกล้ที่ออกอากาศสถานีวิทยุชุมชน ที่แกนนำม็อบเอาไว้ Propaganda กรอกหูชาวบ้านทุกเมื่อเชื่อวัน ขนาดว่า ละอองเกสรดอกไม้ ยังทำให้เชื่อได้ว่า เป็น “ฝนกรด”

แล้ว ชนชั้นกลางหน้าโง่ ที่ “นิธิ เอียวศรีวงศ์” บอกไม่ยอมอ่านหนังสือก็เชื่อ เพราะเรื่องราวการต่อสู้ของชาวบ้านโรแมนติกเหมือน “หนังฮอลีวู๊ด”
กลับมาเรื่องวิฑูรย์ต่อ

เมื่อไอ้เจมส์มาถึงที่อู่ซ่อมรถก็เห็นนายวิฑูรย์ เดินปรี่มาหาบอกว่า

“ไอ้เจมส์...มานี่ดิ...กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

ไอ้เจมส์ ดันทะลึ่งไม่ยอมคุยด้วย เพราะกลัวนายวิฑูรย์จะ “เล่น”เอา เนื่องจากเดิมไอ้เจมส์เคยเป็น “เสื้อเขียว” ได้ตังค์กินหนมไปหลายบาท แต่จู่ๆกลับ “แปรพักตร”
ไอ้เจมส์ขี้มอเตอร์ไซค์ปรู๊ดออกไปทันที พร้อมๆกับเสียงยิงปืนขึ้นฟ้าไม่ต่ำกว่า 5 นัด
“เหี้ยไรว่ะ...” ไอ้เจมส์สบถหันหลังไปดูเห็น นายวิฑูรย์ ยืนถือปืนจังก้า เป็นจังโก้เมืองคาวบอยเพียงแต่ไม่ได้ใช้ปากเป่าควันที่กระบอกปืนแล้วยืนเท่ห์


ไอ้เจมส์ไม่ได้สนใจอะไร ซิ่งมอเตอร์ไซด์ต่อไปไปบ้านเพื่อน นั่งทานข้าวสบายใจเฉิบก่อนย้อนกลับมาที่อู่ซ่อมรถเพราะไม่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของการยิงปืนขึ้นฟ้า

นายวิฑูรย์แม้อายุจะเข้าเลข ๔ แต่ตาดีเป็นตั๊กแตน เห็นไอ้เด็กรุ่นลูกกลับมาอีกจึงคิดว่า ไอ้นี้อยากลองของ

วิฑูรย์ เดินปรี่ เข้าหา

“ไอ้เจมส์ ใครมันเร่งเครื่องมอ’ไซด์ว่ะ”

“ผลั๊ว !” ไอ้เจมส์แค่ขยับปากจะตอบก็โดนฝามือเบิร์ดไปที่กะโหลก

“สาด...มึงเป็นแกนนำ ทำไมมาทำกับกูงี้!” ไอ้เจมส์เดือด

“นี่เป็นการสั่งสอนมึง..."

ไอ้เจมส์ คะเนดูแล้ว ขนาดร่างแคะแกรนของมัน ยังไงก็สู้ร่างดำบึ๊กของนายวิฑูรย์ไม่ไหว จึงถอยดีกว่า

แต่ก้าวขาวิ่งไปไม่กี่ก้าว

“ไอ้เหี้ย...มึงไม่หยุดกูยิงไส้แตก !” วิฑูรย์ควักปืนขึ้นมาอีก

ไอ้เจมส์ยังจำได้ถึงเสียงปืน5 นัดก่อนหน้า จึงต้องเบรคจนตัวโก่ง

วิฑูรย์ กระหยิ่มในใจ เดินอาดๆ วันนี้กูได้ตบเด็กระบายอารมณ์แล้ว

“เพี๊ยะ !!” คราวนี้ฝ่ามือกระทบเนื้อหนังหัวเต็มๆ

“มึงจำไว้ ไอ้เจมส์”

ชาวบ้านร้านตลาดเห็นเหตุการณ์ตลอด เกรงว่า ไอ้เจมส์จะต้องกลับบ้านเก่าเลยเดินเข้าไปห้ามเรื่องจึงยุติ
“โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” คำพระท่านสอน วิฑูรย์เริ่มได้สติ ควักโทรศัพท์มือถือกดเลข “ตู๊ดๆ”
“เฮ้ยไอ้หน่อย! กูเพิ่งตบเด็กว่ะ ทำไงดี ?”
ไอ้หน่อยที่นายวิฑูรย์เรียกพูดอะไรก็จนด้วยเกล้าที่จะได้ยินแต่สิ่งที่ตามมาคือ
ยายไอ้เจมส์ ซึ่งยังอยู่กลุ่มเสื้อเขียว ยอมความไม่เอาเรื่อง

สิ่งที่ตามมาก็คือ ยายไอ้เจมส์ไปแจ้งความตำรวจบอกนายวิฑูรย์ทำร้ายร่างกายหลาน แต่ไม่แจ้งความเรื่องถูกยิงปืนขู่ ตำรวจเลยปรับนายวิฑูรย์แค่ 400 บาท
ซื้อลิโพแตกตำรวจทั้งโรงพักยังไม่ได้เลย
แต่ก็น่าเห็นใจตำรวจเพราะ
วันที่นายวิฑูรย์ไปหาตำรวจ นางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์บ้านกรูดยกขบวนชาวบ้านไปอีก 30 คน จนผู้คนนึกว่า จะไปยึดโรงพัก
ตำรวจบางสะพาน เห็นม็อบเสื้อเขียวก็ “ขาสั่น-เหยี่ยวเล็ด”

พ.ต.ท.ไมตรี โตวิเศษ รอง ผกก. สภ.บางสะพาน (สส) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บอกว่า ปรับแค่ 400 บาท เพราะ ญาติผู้เสียหายแจ้งความเฉพาะกรณีทำร้ายร่างกาย ส่วนการยิงปืนขู่ไม่มีการแจ้งความตำรวจจึงไม่สามารถดำเนินการอะไรได้
สำนักข่าวใต้ดิน รู้มาอีกว่า ยายไอ้เจมส์ได้เงินค่าทำขวัญหลานอีกก้อนหนึ่ง แต่กระดากอย่าเรียกว่าเป็น “ค่าปิดปาก” เลย


นายวิฑูรย์ ก็เลยเดินกร่างพกปืนเป็นจังโก้ ได้ต่อ เพราะตำรวจไม่กล้ายุ่ง แต่ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป ก็สวด “ธัมโม สังโฆ” กันเองเถิดพี่น้อง

08 มีนาคม 2552


สุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล
ชนชั้นกลาง ของแท้

ในทฤษฏีการปฏิวัติ มักมีกลุ่มชนชั้น เป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติโดยชนชั้นรากหญ้า ชนชั้นสูง หรือชนชั้นกลาง
สำหรับสังคมไทยต้องยอมรับว่า "ชนชั้นกลาง" เริ่มมีบทบาทอย่างสูงยิ่งแทบจะในทุกมิติ

ในสายตาของนักคิดตะวันตก โดยเฉพาะกลุ่มขั้วประชาธิปไตยกระแสหลัก พยายามอธิบายว่า ชนชั้นกลาง คือ ผู้นำการเปลี่ยนแปลง เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางระหว่าง รวย-จน ดังนั้นจึงเป็นเหมือนชนชั้นที่สามารถวางใจได้ว่า จะสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้คนในสังคม กลุ่มขั้นนี้พยายามยกตัวอย่างประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษและสหรัฐ หรือกระทั่งฝรั่งเศส

แต่ก็มีอีกกลุ่มขั้วความคิดว่า จริงแล้วๆชนชั้นกลาง ก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นตนเองเสียมากกว่า ดังการปกครองที่มีชนชั้นกลางเป็นแกน ในสายตาของนักวิชาการบางกลุ่ม ถ้าใช้ภาษาของกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก ที่อาจมองคำว่า "จัญไร " เป็นคำสุภาพชน บทความชิ้นนี้ก็ให้ค่าของคำในระดับเดียวกันว่า สังคมที่ชนชั้นกลางเป็นใหญ่เป็นสังคม"เหี้ยไปจัญไรมา"
บทความเรื่อง "ชนชั้นกลางกับการเมืองไทย เขียนโดย "แพทย์ พิจิตร" ตีพิมพ์ในมติชนรายสัปดาห์ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1366 อ้างทัศนะ "รอย ซี แมคริดิซ" ที่มีต่อชนชั้นกลางฝรั่งเศสตั้งแต่ศตวรรษที่สิบแปดเป็นต้นมาว่า หาได้เป็นไปตามที่อริสโตเติลได้กล่าวไว้ในช่วงสามร้อยปีก่อนคริสตกาลไม่ เพราะ
"...ในภาวะคับขัน พวกนี้ก็กลายเป็นผู้ทำลายระบบสาธารณรัฐ ในด้านการเมืองพวกนี้ไม่เดินสายกลาง และผ่อนปรนดังที่อริสโตเติล...ได้อ้างถึงพวกนี้" (ดูรายละเอียด : http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2006q4/2006october20p8.htm )

อริสโตเติลมีทัศนะที่ดีต่อชนชั้นกลาง เขาฝากความหวังไว้กับชนชั้นกลางในฐานะที่เป็นพลังสำคัญ ในการสร้างดุลที่เหมาะสมทางการเมือง ไม่สุดโต่งเกินไปเหมือนกับพวกชนชั้นสูง หรือมหาชนที่ยากจน ถ้าสังคมใดมีคนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง และมีอำนาจทางการเมือง ระบอบการปกครองของสังคมนั้นจะดีกว่า ระบอบการปกครองของสังคมที่คนส่วนใหญ่ยากจนมีอำนาจทางการเมือง


แต่ความจริงถ้าเอามาจับกับสังคมไทยก็คงจะไม่ใช่เช่นเดียวกัน

เพราะชนชั้นกลางเมืองไทย เข้าได้กับทุกชนชั้น เพื่อผลประโยชน์แห่งชนชั้นตัวเอง แม้จะต้องล้มหลักการใดๆก็ตาม

กับทัศนะเรื่องการพัฒนา ชนชั้นกลาง มักอ้างทัศนะโรแมนติกทั้งๆที่ชนชั้นตนเองบริโภคทรัพยากรอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งมีแนวโน้มเป็นชนชั้นที่มีลักษณะอำนาจนิยม
เรากล้าพูดได้ว่า 6 พันธมิตรสิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั้น แนวทางระบบคิด ถูกครอบงำโดยปัญญาชนของชนชั้นกลาง แ บบเบ็ดเสร็จ
เขาเหล่านั้นอยู่เบื้องหลัง แกนนำชาวบ้าน ที่ผ่านการ "จัดตั้ง" ทั้งสิ้น

เด่นชัดที่สุดคือ "สุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล" แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก เป็นชนชั้นกลางที่มีรากความเป็น "ลูกเจ๊ก" ครอบครัวเป็นผู้รับเหมา เธอเอง ก็มีเคยตำแหน่งเป็นถึง กรรมการผู้จัดการ หจก.เพชรเกษมการช่าง ในจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ก่อนจะหันมาทำธุรกิจรีสอร์ต



เธอ พยายามทำตัวเป็นนักอนุรักษ์ก็เพราะเกรงว่า อุตสาหกรรมจะทำลายธุรกิจท่องเที่ยวของเธอ


เธอมีน้องสาวเป็นบรรณาธิการนิตยสารโลกสีเขียว นิตยสารที่เป็นเครื่องมือ CSR ของบริษัทพลังงานใหญ่ของประเทศ


และเธออาจจะแกล้งทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง ก็ได้ว่า ขณะที่เธอต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น บริษัทพลังงานใหญ่ของประเทศซึ่งสนับสนุนสื่อที่ น้องสาวของเธอทำนั้นก็มีแผนทางธุรกิจที่จะแตกไลน์ จากธุรกิจก๊าซไปยัง "ธุรกิจถ่านหิน" เช่นเดียวกัน



แต่อย่างว่า เธอ คือ ชนชั้นกลางที่ไม่มีได้มีหลักคิด อะไรมากนัก เพราะประเด็นที่เธอต่อสู้ก็คือ อะไรก็ตามที่มาขวางผลประโยชน์ของ "(ชน)ชั้น !"



กับบทบาทล่าสุดที่เธออ้าง สิทธิเสรีภาพของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ มาตรา 57 ซึ่งระบุไว้ว่า


บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต
หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตน หรือชุมชนท้องถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว การวางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ การวางผังเมือง
การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และการออกกฎที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน
ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ”
นั้น มันก็เป็นการอ้างในลักษณะ "Double Standard"


ในวันที่เธออยากรู้ข้อมูลแล้วติดเงื่อนไขราชการเธอจะบอกรัฐปิดกั้นประชาชน


แต่เมื่อวันที่รัฐเดินหน้าทำความเข้าใจให้ข้อมูลประชาชน เธอกลับบอกว่า รัฐกำลังประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความแตกแยก


"What's a hell going on?" ฝรั่งตาน้ำข้าวนายหนึ่งสบถ ออกมาเมื่อได้ยินเรื่องเล่านี้



การออกแถลงการณ์ของเธอ "เรื่อง ขอให้ยุติการให้ความร่วมมือกับ กฟผ.ในการทำการประชาสัมพันธ์ในโรงเรียน" นั้น ไม่มีคำอธิบายอื่นใดนอกจากเป็นความพยายามปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้รับรู้ข้อมูล ๒ ด้าน


ทัศนะเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับชนชั้นกลางในภาพรวมที่มองว่า ชนชั้นรากหญ้า ประชาชนทั่วไป ไม่มี "วุฒิภาวะ" พอที่จะชั้งน้ำหนักข้อมูล 2 ด้าน


พูดง่ายก็คือ มองประชาชนโง่เง่าเต่าตุน จำเป็นต้องชี้นำ (Guidance) ดูรายละเอียดใน


(http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=15714&Key=HilightNews )


การมองประชาชน "โง่" เป็นทัศนะที่ไม่ต่างอะไรกับ ชนชั้น Elite ในทุกยุคสมัยของประวัติศาสตร์โลก


เและ เธอไม่อาจปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ แถลงการณ์ชิ้นนี้ เพราะที่อยู่ของกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก ก็ใช้เลขที่เดียวกันกับ "หจก.เพชรเกษมการช่าง" ซึ่งเป็นมรดก "เตี่ย" ของเธอ


น่าสังเกตุ ประโยคที่เธอปลุกระดมว่า "การสร้างความเจริญของบ้านเมืองด้วยมลพิษเป็นแนวคิดของคนจัญไร" นั้น คือ ท่าทีซึ่งสร้างความเกลียดชังอย่างถึงที่สุดกับขั้วตรงกันข้าม


เหมือนกับครั้งหนึ่งที่ 6 พันธมิตรสิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบฯ เคยกล่าวหา "นายปานชัย บวรรัตน ปราณ" ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบฯ ซึ่งมีแนวคิดตรงกันข้ามกับเธอว่า เป็น "จีนแดง" หรือพูดตรงๆก็คือ ด่าผู้ว่าฯเป็น "คอมมิวนิสต์" นั้นแหล่ะ


เป็น "คอมมิวนิสต์" ที่ครั้งหนึ่งเคยมีประโยคคลาสสิกอันนำไปสู่การเข่นฆ่าคนไทยร่วมชาติว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป"


เหตุผลนี้ใช่หรือไม่ ที่รองรับความชอบธรรมให้กับ มือปืนที่ลั่นไกลสังหาร "รักศักดิ์ คงตระกูล" พนักงานชั่วคราวเครือสหวิริยา


"สุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล" จึงเป็นรูปธรรมสะท้อนภาพลักษณ์ "ชนชั้นกลาง" ประเทศไทย ได้ดีที่สุดอีกตัวอย่างหนึ่ง