17 เมษายน 2552

เปิดโฉมหน้าประชาไท ทำไมเข้าข้างม็อบประจวบฯ

เป็นที่คลี่คลายกันเสียที หลังจากงุนงงว่า “เว็ปไซด์ประชาไท” ซึ่งเป็นเหมือนกระบอกเสียงให้ประชาชนคนรากหญ้านั้น มีเจตจำนงใดในการนำเสนอข่าวสารในลักษณะเหมือนให้ท้าย ม็อบชาวบ้าน
บังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่ได้อ่านบทความจาก นสพ.ทีนิวส์ รายปักษ์ และมีการกล่าวพาดพิงถึง
ใช่หรือไม่ว่า วาระที่ผ่านมาของเว็ปไซด์ประชาไท คือการหวังระดมแนวร่วมให้มากที่สุดตามทัศนะ " สร้างเอกภาพในความหลากหลาย "
เอกภาพที่มองว่า ศัตรูของตนคือนายทุน ขุนศึก และศักดินา
ขอเชิญอ่านบทความที่ จำต้องคัดลอกมาจากพ้องมิตรในแวดวงสื่อมวลชนฉบับเต็ม


ขบวนการสาธารณรัฐ
โหมไฟเร่งภาวะสุกงอม

ถึงเวลานี้ คงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอ้อมค้อม เพราะสถานการณ์พัฒนามาจนถึงขั้นหวังให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อของคนในชาติ เอาซากปรักหักพังของประเทศเป็นเครื่องต่อรอง
ในการ “โฟนอิน”ของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร”แทบจะทุกเวทีของคนกลุ่ม “เสื้อแดง” ปากก็พร่ำบอกแต่ว่า “จงรักภักดี” , “รักพระเจ้าอยู่หัว” แต่พฤติกรรมหลังเวที ทุกลมหายใจเข้า-ออกเวลานี้ ของ “นช.ทักษิณ” กลับจาบจ้วงล่วงละเมิด อีกทั้งยังสนับสนุน ส่งเสริม ยุทธศาสตร์“สร้างเอกภาพในความหลากหลาย” ของเหล่าบรรดา “แนวร่วมขบวนการสาธารณรัฐ”เพื่อทำลาย “สถาบันพระมหากษัตริย์”
“นช.ทักษิณ” บอก จงรักภักดี แต่ กล่าวหา ว่าร้าย “องคมนตรี” ซึ่งเป็นคณะบุคคลที่ถวายงานใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ เป็นบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยพระราชอัธยาศัยของบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
“นช.ทักษิณ” บอก “รักพระเจ้าอยู่หัว” แต่ปล่อยหรือ “ให้ท้าย” แกนนำเสื้อแดงคนสำคัญที่มี “ทัศนคติอันตราย”อย่าง “จักรภพ เพ็ญแข” ตีฝีปากด้วยถ้อยคำอย่าง “ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้...”
“นช.ทักษิณ”ปล่อยให้ “วีระ มุสิกพงศ์” ที่เคยเหิมเกริม ถึงขนาดบอกว่า ถ้าเลือกเกิดได้จะเลือกเกิดใจกลางพระมหาราชวัง เป็นพระองค์เจ้าวีระ เวลาเที่ยงก็เข้าห้องเย็น เสวยเสร็จก็บรรทม ตื่นอีกทีบ่ายสามโมง หกโมงครึ่ง เสวยน้ำจัณฑ์” ออกมาพูดถึงแนวทาง “ราชประชาสมาสัย”เพื่อหาทางออกให้กับ นช.ทักษิณ” รวมถึงการเพิกเฉยให้ “ใจ อึ๊งภากร” แนวร่วมเสื้อแดง ออก “แถลงการณ์แดงสยาม” (red siam manifesto) กล่าวร้ายต่อ “ในหลวง”
“นช.ทักษิณ” บอกจงรักภักดี แต่กลับปลุกระดม ผู้คนให้ “ล้างประเทศ” ล้ม “ระบอบอำมาตยาธิปไตย” ซึ่งเป็น “วาทกรรม"(Discourse) ที่ “กลุ่มต้านสถาบัน” ประดิดประดอยขึ้นเพื่อโจมตี-ล้มล้าง “ระบบราชการ” (Bureaucracy) ซึ่ง “สมเด็จพระปิยะมหาราช” ทรงปฏิรูป เป็น “กลไก” สร้าง “รัฐชาติสมัยใหม่” นำพาประเทศรอดพ้นภัยจักรวรรดินิยม หรือปัจจุบันคือ “ทุนนิยมสามานย์” ที่ “นช.ทักษิณ” และบรรดาสาวก “แอบอิง”
“นช.ทักษิณ” ซึ่งอ้างว่า ต่อต้าน “เผด็จการซ่อนรูป” คงลืมไปว่า ผู้คนยังจดจำภาพที่ “นช.ทักษิณ” ยืมกุมมือ พินอบพิเนาต่อ “พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์” ประธาน รสช.เพื่อจะได้ “สัมปทานกิจการโทรศัพท์มือถือ”
“นช.ทักษิณ” บอกรักพระเจ้าอยู่หัว แต่กลับหลงใหลได้ปลื้มไปกับประวัติศาสตร์การก่อตั้งสาธารณรัฐ หรือกระทั่งมีอาการ “หัวใจพองโต” เมื่อเหล่าสาวกเชิดชู ยกตัวขึ้นชั้นเป็น “ประธานาธิบดี”
“นช.ทักษิณ” มุ่งมั่นหรือจะแก้ตัวว่ามันเป็นเรื่อง “บังเอิญ” แต่มันก็คงเป็นเรื่อง”บังเอิญอย่างร้ายกาจ” ที่ ประวัติการก่อตั้ง“พรรคไทยรักไทย” เมื่อปี ๒๕๔๑ เลือกเอาวันที่ ๑๔ กรกฎาคม เป็นวันก่อตั้ง ทั้งๆที่รู้ว่า มันเป็น “วันชาติฝรั่งเศส” เป็น “วันสัญลักษณ์”ของการโค่นล้มระบอบกษัตริย์และสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ
การโฟนอินกับบรรดาสาวกเสื้อแดง นช.ทักษิณ ในช่วงหลังๆ เริ่มเผยเป้าหมายว่า หวังยกระดับการชุมนุมเป็น สงครามประชาชน นช.ทักษิณ เอาการปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นต้นแบบ เขาพูดถึง “เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ” อันแปลมาจาก คำขวัญประจำชาติของฝรั่งเศส Liberté, Égalité, Fraternité ซึ่งก็มีต้นธารมาจากคำขวัญเมื่อครั้งปฏิวัติล้มสถาบันกษัตริย์ของฝรั่งเศส ว่า Liberté, Égalité, Fraternité, ou la Mort!- "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ หรือความตาย"

๑๙ กันยา ๒๕๔๙ “ป่าช้าแตก”
เปิดตัว ศูนย์การนำล้มสถาบัน

ถ้าอ้างอิง ถ้อยคำของ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ถึง การดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของกระบวนการ “ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” เมื่อคราวกล่าวปาฐกถา เรื่อง “ยุทธศาสตร์กู้ชาติ และเข็มทิศใหม่เพื่อผ่าทางตันการเมืองไทย” และมีการขยายความ ในหนังสือ “แนวทางประเทศไทย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิถี การต่อสู้เอาชนะภัยความมั่นคงของชาติ” ซึ่งแจกในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิดของตนเองว่า แม้รัฐไทยจะเอาชนะในสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่มีกลุ่มบุคคลผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ดื้อรั้นบางกลุ่มหันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมแทนอย่างเต็มที่ โดยพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น ชุบตัวในสถาบันวิชาการ เข้าร่วมทำเศรษฐกิจทุนนิยม เข้าร่วมถืออำนาจรัฐยุยงให้ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายทุนทำผิดให้มาก ๆ จึงมีการกล่าวกันว่า ปัจจุบันมีขบวนการบ่อนทำลายประเทศโดยใช้ระบบเผด็จการรัฐสภาเป็นเครื่องมือดำเนินยุทธวิธีแนวร่วมเพื่อก่อสงครามกลางเมืองเพื่อเปลี่ยนรูปของประเทศจากราชอาณาจักรไปสู่สาธารณรัฐ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นอาวุธหลัก
ข้อมูลของพล.อ.ชวลิต คือการยืนยันในอีกทางหนึ่ง แต่จากการประมวล และกรองทิศทางข่าวสารอย่างรอบด้านและทุกช่องทาง ยืนยันได้ว่า การเคลื่อนไหวนับแต่จุดเล็กๆด้วยการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติอันเนื่องจากความเสื่อมถอยของสถาบัน หากแต่เป็นเพราะขบวนการที่ไม่สมหวังในอำนาจและผลประโยชน์ที่ตนเองต้องการ มีความเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบและมีการจัดตั้ง
เบื้องหน้าเบื้องหลัง ที่พอจะเป็นลายแทงให้ตามรอยกลุ่มคนซึ่งเป็น “ศูนย์การนำ”ประกอบด้วยดังนี้
๑.อดีตคอมมิวนิสต์ที่มีบทบาททางวิชาการ ทางการเมืองในปัจจุบันและมีอีกบางส่วนเป็นกลุ่มพลังเคลื่อนไหวทางสังคม เช่นในองค์กรพัฒนาเอกชน และกลุ่มองค์ที่อ้างว่าทำงานด้านประชาสังคม (Civil Society) หรือกระทั่งในแวดวงสื่อมวลชน
“คำนูญ สิทธิสมาน” ส.ว.สรรหา เคยตั้งข้อสังเกตกับความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้และอาจจะทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นก็คือ ในกรณีการโหมกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศเนปาลที่กลุ่มเหมาอิสต์ล้มระบอบกษัตริย์ว่า
“ไม่ใช่ครั้งแรกที่การเปลี่ยนแปลงในประเทศเนปาลตกเป็นข่าว และเข้ามามีบริบทพิเศษบางประการในประเทศไทย มันเริ่มต้นมาตั้งแต่อย่างน้อย ๆ ก็เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 แล้วทั้งในทางเปิดและในทางปิด !”
ข้อมูลของ “คำนูญ” ตั้งข้อสังเกตกับหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2549 ซึ่งนำเสนอเรื่องประจำปกว่า “Case study กรณีเนปาล” โดยเชื่อมโยงให้เห็นว่า “นักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนคุมเนื้อหาหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ที่เคยเข้าป่าจับปืนสมาทานลัทธิเหมามาก่อนมีเจตนาซ่อนเร้นพิเศษอะไรหรือไม่” และ “ต้องไม่ลืมอีกเช่นกันว่าพรรคการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ที่เติบโตขึ้นมาอย่างพลุ นอกจากมันสมองและกระเป๋าสตางค์ของท่านแล้ว ยังมีฝีไม้ลายมือชั้นเชิงของลิ่วล้อที่เป็นอดีตเหมาอิสม์ตัวกลั่นรวมอยู่ด้วยอีกไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในทางปิด – ก็กรณีที่มีข่าวเล่ากันว่ามีเสียงพูดในก๊วนกอล์ฟอย่างร่าเริงเหิมเกริมว่า...“ระวังจะเป็นอย่างเนปาล !” ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้พูดเป็นใคร เป็นนายใหญ่ผู้มั่งคั่ง หรือเป็นลิ่วล้ออดีตเหมาอิสม์อารมณ์ค้างที่อกหักจากการไปจับปืนร่วมรบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเมื่อ 30 กว่าปีก่อน
\๒.ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งนักวิชาการและนักการเมืองเช่นกัน คนกลุ่มนี้ มีอารมณ์ตกค้าง ของความจงเกลียดจงชัง เพราะคิดว่า คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา คือคนที่อยู่สูงกว่า กองทัพ ในกลุ่มนี้ขอสังเกตความเคลื่อนไหวและระบบคิดของ ธงชัย วินิจจะกุล, สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล เป็นอาทิ
๓.ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตนักการเมือง พวกนี้อ้าง “ประชาชนมาก่อน” ในเวลาหาเสียง แต่ยามเสวยสุข ประชาชนมาทีหลังเสมอ คนกลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอุดมการณ์ หากแต่พวกเขาอาชีพเป็น “นักเลือกตั้ง” ที่มี “จิตสำนึกศักดินา” (จะอรรถาธิยายต่อไป) คนกลุ่มนี้เป็นเครื่องมือในการระดมคนจากพื้นที่เลือกตั้งของตนเองให้เข้าร่วมชุมนุม
๔.กลุ่มปัญญาชนรุ่นใหม่ ซึ่ง ภาษาวิชาการเรียกพวก “Post Modern” คนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานชนชั้นกลาง ได้รับการ “ผลิตซ้ำทางความคิด” ประสบการณ์ต่อสู้ทางการเมืองยุค ๑๖และ ๑๙ แต่พวกเขามี “Philosophy” แค่ “วิพากษ์และตั้งคำถาม” สามารถ “มั่ว” เข้าไปได้ทุกเรื่อง แต่ไม่มีการ “เสนอทางออก” พวกเขาพยายามยกระดับเป็น School of thought แต่ยังขาดฐานทาง “องค์ความรู้” คนกลุ่มนี้อาจเป็นพวกนิยมลัทธิมาร์กซ์ แต่ก็ไม่นิยมการผลิต ในความหมาย Mode of Production บางทีพวกเขาอาจด่าทุน แต่ก็ดูหนัง Hollywood ชื่นชอบวิถีชีวิตอเมริกันชน บางทีพวกเขาบอกรักผู้ยากไร้ แต่ก็ทำตัวเป็นสายลมแสงแดด และเป็นส่วนหนึ่งของ “ห้วงโซ่การบริโภคนิยมอย่างบ้าคลั่ง” คนพวกนี้ มีทั้งกลุ่มคนที่ “มีปมทางจิต”อาจเป็นลูกหลานเศรษฐีใหม่ที่พยายามหา ประสบการณ์”ขบถ” พวกนี้อาจนับเป็นพวก “หัวใจอยู่ซ้าย แต่กระเป๋าสตางค์อยู่ขวา” หรือเป็นได้แค่”ปีกซ้ายไร้เดียงสา” แต่ปัญหาก็คือคนกลุ่มนี้เริ่มเข้าไปอยู่ในแวดวงอาชีพต่างๆ ดังกรณีของ เว็ปไซด์“ฟ้าเดียวกัน” , “ประชาไท” หรือ กรณีที่เห็นชัดก็คือ เส้นทางชีวิตของ “ธนาธร จึ่งรุ่งเรืองกิจ” หลานของ “สุริยะ จึ่งรุ่งเรืองกิจ” รวมถึงกรณีของ “โชติศักดิ์ อ่อนสูง” ผู้ต้องหาคดี “ไม่ยืนเพลงสรรเสริญ”
“ศูนย์การนำ” แบ่งคร่าวๆ ๔ กลุ่มนี้แหล่ะ ที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เรียกว่า “ขบวนการสาธารณรัฐ”
พวกเขาสะสมพลัง ซุ่มซ่อน รอคอย “โอกาส” หรือ “Window of change” และพวกเขาก็ได้โอกาสในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เมื่อ คมช.ขับรถถังออกมาล้มรัฐบาล นช.ทักษิณ
ในทางยุทธศาสตร์นี่คือจังหวะพล็อตเรื่องที่สมบูรณ์ เป็นจังหวะที่พวกเขา “คืนชีพ” และเป็นการคืนชีพในสภาพที่เรียกว่า “ป่าช้าแตก”
การเคลื่อนไหวเป็นไปในท่วงทำนอง “ผีเน่า-โลงผุ” และทะลักออกมาอย่าง “ไร้ระเบียบ” พวกเขารู้ดีว่า คนกลุ่มนี้เป็นศูนย์การนำที่มีบุคลิกพิเศษคือ “ใหญ่คับเสื้อ” ไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ ปล่อยให้แสดงออกเต็มที่ แต่ภายใต้ความไร้ระเบียบดำเนินไปในสิ่งที่แนวร่วมของพวกเขาอย่าง “สำนักคิดไทยใหม่” เรียกมันว่า "ยุทธศาสตร์หนึ่งเดียว ยุทธวิธีหลากหลาย" และ " สร้างเอกภาพในความหลากหลาย "

ยุทธศาสตร์หนึ่งเดียว ยุทธวิธีหลากหลาย
ถ้าอ้างอิงจาก แถลงการณ์ของ “ใจ อึ๊งภากรณ์” เป้าหมายสูงสุด ของการเคลื่อนไหว คือ ระบบสังคมนิยม และถ้าจะว่าอย่างถึงที่สุดก็คือ การมีผู้นำเป็น “ประธานาธิบดี”
ขณะที่ยุทธวิธีหลากหลายหากประมวลความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงและแนวร่วมตามที่กล่าวมาข้างต้นก็จะเห็นปรากฏการณ์การโจมตี ทั้งสถาบันโดยตรง และมุ่งเน้นไปที่ฐานของโครงสร้างคือ กองทัพ ที่มีคำประกาศว่า “ข้าพระพุทธเจ้า จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต” รวมถึงการโจมตี “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”
“ศูนย์การนำ” ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการทำหน้าที่ “ปัญญาชนแถวหน้า” อธิบายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เพื่อขยายผลในเชิงวิชาการชี้ให้เห็นความไม่ชอบธรรมของสถาบันฯโดยขยายผลทั้งในและต่างประเทศ
ในเชิงความเคลื่อนไหว คนกลุ่มนี้พยายามหยิบยกประเด็นที่จับต้องง่ายและเห็นชัดเพื่ออธิบายกับมวลชนเช่น การโจมตีสถาบันว่า เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดดังกรณีรายงาน ๑๐ อันดับราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของนิตยสาร Forbes การโจมตีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ของ เว็ปไซด์ Asia sentinel
เว็ปไซด์ของกลุ่มแนวร่วม โหมประโคมเผยแพร่ โดยฉากหน้าอ้างความเป็นวิชาการ แต่จิตใจส่วนลึกพวกเขาล้วนหวังผลการเปลี่ยนแปลง
ยกตัวอย่างง่ายๆ ภายใต้ “วาระซ่อนเร้น” ของการนำเสนอประเด็นพระราชทรัพย์ของสื่อตะวันตก พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งสิ่งที่จะ “ปั้นเรื่อง” ต่อไปได้ว่า ความร่ำรวยของกษัตริย์ไทย มีตัวอย่างใด ครั้งใดที่กษัตริย์ไทยทรงดำรงพระชนม์ชีพหรูหราสมกับความร่ำรวยที่ฝรั่งตาน้ำข้าวจัดอันดับหรือไม่
พสกนิกร ชาวไทยได้รับรู้แต่วัตรปฏิบัติแห่งความพอเพียง รับรู้ถึงราชกิจยวัตรแห่งการย่ำพระบาทไปยังพื้นที่กันดารที่สุดเพื่อดับทุกข์เข็ญประชาราษฎร
พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้กับเหตุการณ์ เมื่อครั้งที่สยามต้องเสียดินแดน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ ๓ ตุลาคม ๒๔๓๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ครั้งนั้น ฝรั่งเศสยังได้เรียกเงินค่าเสียหายจากสยาม ๑ ล้านบาท ทำให้เจ้านายฝ่ายในที่ต้องขายสมบัติของตระกูลเพื่อนำเงินมาถวาย และรัชกาลที่ ๕ เองก็ทรงนำ “ถุงแดง” หรือ เงินพระคลังข้างที่ ออกมาจ่ายค่าปรับ
แผ่นดินไทยที่คงความเป็นเอกราช มีสิทธิเสรีภาพตราบทุกวันนี้ เพื่อให้ข้าแผ่นดินบางกลุ่มกลับมาล้มล้าง อย่างนั้นหรือ ?

“นช.ทักษิณ”-สาวก
มองไม่เห็นธรรมแห่งกษัตริย์

กลุ่มแนวร่วมที่รณรงค์เรื่อง Free Speech หรือแม้แต่การณรงค์ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ มักโหมประโคมข่าว ทั้งในและต่างประเทศ เมื่อมีผู้ต้องหาคดีหมิ่น แต่พวกเขาแทบจะไม่ให้น้ำหนักในการนำเสนอข่าวเลย เมื่อถึงที่สุดของคดี ที่ผู้ต้องหาเหล่านั้นได้รับการพระราชทานอภัยโทษ
พวกเขาจะนำเสนอละครชีวิตที่มีพล็อตเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา เมื่อ “แฮรี่ นิโคไลเดส” นักเขียนออสเตรเลียถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่วันที่ “แฮรี่” ได้รับพระราชทานอภัยโทษและเนรเทศออกนอกประเทศ พวกเขาเสนอข่าวนี้ในพื้นที่กรอบเล็กๆ
พวกเขาแทบจะปิดหูปิดตากับพระราชดำรัสของในหลวงที่พระราชทานเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ว่า
“…The King can do no wrong” คือ การดูถูกเดอะคิงอย่างมาก เพราะว่า เดอะคิงทำไม Can do no wrong ไม่ได้ Do wrong แสดงให้เห็นว่า เดอะคิงไม่ใช่คน แต่เดอะคิงทำ Wrong ได้”
และ พวกเขาคงแกล้งไม่ได้ยินประโยคของพระราชดำรัสว่า “...ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่า พระมหากษัตริย์เป็นคนไม่ดี อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนที่จั๊กจี้ ใครว่าไรซักนิดก็บอกให้เข้าคุก ที่จริงพระมหากษัตริย์ ไม่เคยบอกให้เข้าคุกตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนๆเป็นกบฏก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ รัชกาลที่ ๖ ท่านไม่ลงโทษ ไม่ได้ลงโทษผู้ที่เป็นกบฏ มาจนถึงต่อมารัชกาลที่ ๙ ใครเป็นกบฏก็ไม่เคยมีแท้ๆ ที่จริงก็ทำแบบเดียวกันไม่ให้เข้าคุกให้ปล่อยหรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ให้ปล่อยถ้าไม่เข้าก็ไม่ฟ้อง เพราะเดือดร้อนผู้ที่ถูกด่า เป็นคนเดือดร้อน”
“นช.ทักษิณ” จะปฏิเสธอย่างไรเมื่อวิทยุชุมชนในเครือข่ายของพวกเขาทุกวันนี้ก็ออกอากาศด้วยเนื้อหาล่วงละเมิดพระองค์ท่าน ตลอดเช้าสายบ่ายเย็น
เราไม่อยากกล่าวหาว่า “นช.ทักษิณ” ยัดเยียดอะไรใส่สมองพวกเขาเหล่านั้น แต่สิ่งน่าพิจารณาคือ คำสารภาพของ “สุวิชา ท่าค้อ" มวลชนของ “นช.ทักษิณ” ซึ่งถูกจับคดีหมิ่นสถาบันฯ ที่ว่า “ก่อนหน้านี้เขาออกมาต่อต้านการรัฐประหาร และเข้าใจผิดจึงได้ก้าวล่วงพระองค์ ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ได้อธิบาย เขาจึงเข้าใจ และรู้สึกเสียใจ”
หากได้มีโอกาสพิจารณาบทความของ “ชัชชรินทร์ ไชยวัฒน์” ซึ่งเขียน ใน “จุดไฟในนาคร” ของ “อาทิตย์ ข่าวพิเศษ ปีที่๑๖ ฉบับที่ ๘๐๘(๙๙) อาจอธิบายปรากฏการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มคนที่ต้องการล้มล้างสถาบันได้ว่า พวกเขาเหล่านั้น มองสถาบันกษัตริย์ด้วยสายตาที่ “ห่างไกล” และ “ไม่อาจเข้าใจ” ได้ถึง “ธรรมะของพระมหากษัตริย์” โดยเฉพาะปฐมบรมราชโองการว่า
"..เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม"
คำถามง่ายๆ ที่ชัชรินทร์ตั้งว่า “ ในอดีตกาลที่ผ่านมา หากว่าการเป็น"พระราชา"นั้น เป็นตำแหน่งแห่งการเสวยสุข อันเนื่องมาจากความเขลา ของบรรดาผู้ใต้ปกครอง หรืออาณา ประชาราษฎร์แล้วไซร้ ระบอบการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ คงจะไม่ดำรงสืบต่ออย่างมั่นคงเป็นระยะเวลาอันยาวนานนับเป็นหลายศตวรรษ”
“ชัชรินทร์” ระบุอีกว่า “...การฆ่าฟันศัตรูภายในชาติด้วยคำกล่าวว่า "เพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์"การสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เริ่มต้นด้วยความ"เกลียดชัง"ด้วยความ"หวาดระแวง" และ "ด้วยความริษยาอาฆาต"นั้น..หาใช่การเดินตามรอยพระยุคลบาทไม่ และด้วยเหตุที่บางครั้งบางบุคคล..ก่อกำเนิดความรักพระมหากษัตริย์บน"ความเกลียดชัง"บุคคลอื่นๆ...สถาบันพระมหากษัตริย์มิอาจที่จะปฏิเสธ"ทัศนะแห่งความแตกต่าง"ของบรรดาพสกนิกรใดๆได้เลย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงกล่าวย้ำหลายต่อหลายครั้งให้พสกนิกรของพระองค์ยึดมั่นอยู่ใน"วิถีทางแห่งธรรม" ให้ฝักใฝ่ใน"สันติ" ให้มีความรักความเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งในสังคมประเทศและแม้กระทั่งในสังคมโลก
ความพยายามที่จะเป็นที่รัก,เพื่อใกล้ชิด,เพื่อเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย..ฯลฯโดยปราศจาก"เมตตาธรรม"ต่อผู้อื่นนั้นหาใช่วิถีทางที่สอดคล้องกับ"ธรรมะแห่งองค์พระมหากษัตริย์"ไม่
บุคคลใดก็ตาม..ที่ยึดมั่นอยู่กับวิถีทางแห่งธรรม บุคคลนั้นย่อมเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย แห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงประกาศยึดมั่นอยู่ใน"ทศพิธราชธรรม"มาโดยตลอด
เราอาจจะมองพระมหากษัตริย์จากความเป็น"มนุษย์"ได้..แต่เราไม่อาจมองพระมหากษัตริย์แยกออกจากสถานะ และ"ธรรมะ"ที่พระองค์ทรงรักษา จนเป็นพระราชจริยาวัตรอันมั่นคงจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นี้
แน่นอนว่า..สังคมย่อมมีการเปลี่ยนแปลง และบ่อยครั้งที่ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น อาจจะพุ่งเป้าหมายถึงสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความไม่เข้าใจ หรือด้วยความ"ไม่รู้" …”
“นช.ทักษิณ” อาจถอดบทเรียน คัมภีร์นักปกครอง ของ Antoino Gramsci ที่มองว่า ฝูงชนคือลาโง่ “นช.ทักษิณ” จึงนำ “อวิชา-ความไม่รู้” ยัดใส่สมอง และอาจถึงขั้น “พาคนไปตาย” เพียงเพื่อตนเองได้อำนาจ หรือไม่ ?

เลือดขัตติยะ- จิตสำนึกศักดินา
มาถึงบรรทัดนี้ วาทกรรม เชิดชู “ทุนนิยมก้าวหน้า” กล่าวหา“ศักดินาล้าหลัง” ปรากฏให้เห็นจุดอ่อนและข้อบกพร่องเชิงองค์ความรู้เป็นอย่างยิ่ง
เพราะในความเป็นจริงทุกอย่างกลับตาลปัตร
ดังที่กล่าวการสืบสายเลือดขัตติยะ หากแต่มุ่งในทางเสวยสุข คงไม่สามารถดำรงสืบต่ออย่างมั่นคงเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
นอกเหนือจากธรรมะแห่งพระราชา แล้ว การปรับตัวของสถาบันเพื่อความเป็น “สากล” ก็มีอยู่เป็นพลวัตร (Dynamic) ดังที่ “นิธิ เอียวศรีวงศ์” เองก็ยอมรับว่า การจัดงานฉลองครองราชสมบัติครบ 60 ปี และทูลเชิญกษัตริย์จากทั่วโลกมาร่วมงาน คือการประกาศความเป็น "สากล" ของสถาบันพระมหากษัตริย์
การที่ “สหประชาชาติ” ขนานพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ทรงเป็น"พระมหากษัตริย์นักพัฒนา" สดุดี “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็น “ทฤษฎีโลก” นั่นก็คือความเป็น “สากล” ของสถาบันพระมหากษัตริย์
ในทางกลับกันทุนนิยม ปัญญาชนหัวก้าวหน้า ในสังคมไทยกลับเดินเข้าสู่ “กับดัก”ประชาธิปไตยที่มีความหมายเพียงแต่การ “เลือกตั้ง” และสยบยอมกับศูนย์การนำที่มี “จิตสำนึกศักดินา”
ออกจะเป็นเรื่องน่าขัน ที่พวกเขาโจมตี “ศักดินาล้าหลัง” แต่ไม่ปฏิเสธ “ประชาธิปไตย” ที่ มี “นักเลือกตั้ง” ซึ่งมีวิวัฒนาการจากการเป็นนักการเมืองที่โกงกินหรือถอนทุนคืน ด้วยการกินตามน้ำ กินค่าหัวคิว มาสู่การ “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย”
พวกเขาไม่ปฏิเสธ การเมืองที่ถูกผูกขาดโดยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เช่น ถ้าจังหวัดเชียงใหม่ จะมีแต่คนนามสกุล “ชินวัตร” หรือ เครือญาติ เป็นนักการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จนถึงระดับชาติ พวกเขาไม่ปฏิเสธ หากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีถูกส่งต่อ จาก “นช.ทักษิณ”มายัง “น้องเขย” อย่าง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์”
ไม่ใช่เฉพาะ “นช.ทักษิณ” บรรดานักเลือกตั้งภายใต้ระบบประชาธิปไตย สามารถส่งต่ออำนาจการเมืองไปยังลูกหลานพี่น้องในตระกูล
“สภาสูง”กลายเป็น “สภาผัว-สภาเมีย” อดีต ๑๑๑ นักการเมือง มี “นอมินี” ตั้งแต่ “คนขับรถ” ยัน บรรดา “กิ๊ก” ขึ้นมานั่งทำเนียบนั่งสภา
“ศักดินา” ยุค Feudal มีแค่ตัวเลขจำนวนที่ดินที่ถือครองแต่ไม่มีจำนวนที่ดินจริง ตรงกันข้ามศักดินาทุนนิยมสามานย์ มีที่ดินชนิดที่เรียกว่า บางครั้งเผลอสั่งลูกน้องให้ติดต่อซื้อ ทั้งๆที่ เป็นที่ดินของตนเอง
นี่คือความเป็นจริงที่สาวก “นช.ทักษิณ” ไม่เปิดรับ

รัฐบาล-ทหาร ต้องแสดงความจงรักภักดี
แม้ “นิธิ เอียวศรีวงศ์” จะวิจารณ์ว่า รัฐบาลและกองทัพปกป้องสถาบันโดยเน้นแนวทางการแสดงออกใช้อำนาจทางกายภาพเป็นด้านหลัก และการใช้แนวทางนี้ก็ไม่อาจเป็นแนวทางที่จะปกป้องการละเมิดสถาบันได้นั้น แต่ปัจจุบันเราก็แทบจะมองไม่เห็นการใส่ใจจาก ทั้งรัฐบาลและกองทัพจะมองเห็นภัยคุกคามดังกล่าวหรือไม่ ดังนั้นจึงยากที่จะก้าวพ้นไปสู่การหาหนทางปกป้องด้วยอำนาจในเชิงวัฒนธรรม, เศรษฐกิจ และสังคม
“อภิสิทธิ เวชชาชีวะ” ในวันที่รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๗ บอกว่า “ผมรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ผมสำนึกเสมอว่าผมเกิดมาเป็นข้าแผ่นดินต้องสนองคุณแผ่นดิน สำนึกตลอดว่า แผ่นดินร่มเย็นตลอดมาเพราะพระบารมี ขอยืนยันตรงนี้ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลที่ผมเป็นผู้นำจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง”
แต่เมื่อได้เสวยอำนาจ อภิสิทธิ์แสดงท่าทีต่อกรณี“นช.ทักษิณ”และกลุ่มเสื้อแดงกระทำการละเมิดสถาบันฯ เมื่อครั้งตอบกระทู้ถามกรณีหมิ่นสถานบันของ “นายใจ อึ๊งภากรณ์” ว่า
“ผมจะไม่พยายามพูดเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้มากเกินไป เพราะไม่ต้องการให้มีการนำไปขยายผลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ที่อาจเกิดผลในแง่ลบมากกว่าผลดี ยอมรับว่าหนักใจ และไม่ประมาท”
การตำหนิ ติเตียน ยังมีไปถึงผู้นำกองทัพ ซึ่งกล่าวปฏิญาณ “จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต” แต่กลับปล่อยให้คนมุ่งร้ายต่อสถาบันดำเนินกิจกรรมต่อเนื่อง พวกเขาบอกเป็น”ทหารพระราชา” แต่สงวนตัวอยู่ในที่ตั้ง ปล่อยให้ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์และองคมนตรี อย่าง พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์, นายอำพน เสนาณรงค์ ต้องลดตน ต่อสู้กับคนที่เป็นเพียง “นักโทษหนีคดี”
การไม่รู้เท่าทันหรือตระหนักถึงภัยของ “ขบวนการสาธารณรัฐ” จึงนับเป็น สัญญาณอันตราย อย่างยิ่ง !

อ่านแล้วประชาไทจะตอบก็ไม่ว่ากัน

10 เมษายน 2552

เมื่อฝ่ามือไม่อาจปิดฟ้า



สังคมแห่งการสร้างภาพ มันทำให้คนดีๆกลายเป็นผีห่า คนชั่วช้ากลายเป็นเทวดา
คำถามคือ เราอยากให้สังคมหน้าไหว้หลังหลอก กันอย่างนี้เหรอ
“วิฑูรย์ บัวโรย” วันนี้ถึงคิวขึ้นฟังคำพิพากษา !!

นำเครื่องประหารหัวสุนัข!


“เปาบุ้นจิ้น” มีเครื่องประหารสุนัขไว้สำหรับ “คนขี้คร่อก” ที่ทำผิดคิดชั่ว “วิฑูรย์ บัวโรย” เป็นสามัญชนคนธรรมดาเมื่อทำผิดก็คงต้องเอาหัวพาดเครื่องประหารหัวสุนัข

เปิดมีด !

ข่าว นายกิตติคุณ แจ่มครุฑ ชื่อเล่น เจมส์ อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 169 หมู่ 1 ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้าแจ้งความกับร.ต.ท.พิสุทธิ์ สุกระศร สารวัตรเวร สภ.บางสะพาน ว่า ถูกนายวิฑูรย์ บัวโรย แกนนำกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ทำร้ายร่างกายโดยการตบหน้าและใช้อาวุธปืนยิงข่มขู่ บริเวณร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ เป็นข่าวที่เผยธาตุแท้แค่น้ำจิ้มของวิฑูรย์เท่านั้น
ไม่น่าเชื่อเมื่อข่าวชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ตามหน้าสื่อก็มีคนโพสข้อความแฉเบื้องลึกของคนที่ฉากหน้าคือนักต่อสู้

ผู้หวังดีโพสต์ข้อมูลที่น่าสนใจอาทิ ของ “แก้ว บางสะพาน” เป็นไงลองไปคลิ๊กเข้าไปอ่านกันเอาเอง ส่วนความเห็นของ “ไอ้พวกเกรียน” อย่าไปสนใจมัน
ข่าวตามหน้าสื่ออาจใช้คำสุภาพเล่าเรื่อง แต่ “เว็ปข่าวใต้ดิน” ขอเล่าเรื่องแบบดิบๆ ไม่มีใส่สี ตีไข่

นายกิตติคุณ หรือ ไอ้เจมส์ ก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป อยู่กับญาติ เพราะพ่อแม่หางานทำในพื้นที่ไมได้จึงต้องเป็นแรงงานย้ายถิ่น
อันนี้หักล้างสิ่งที่แกนนำม็อบอนุรักษ์เคยโม้ว่า คนบางสะพาน มีรายได้กันคนละเป็นแสนต่อเดือน


ลูกไม่อยู่กับพ่อแม่มันก็มีซนบ้างตามประสา แต่ความซนของมันดันไปสร้างความเปรี้ยวตีนให้กับ “วิฑูรย์”

ไอ้เจมส์ เล่าว่า เกิดเมื่อเวลา 18.00 น. ของวันที่ 4 เมษายน 2552 ขณะซิ่งมอเตอร์ไซด์ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปทางโรงเรียนดอนสำราญ ก็ให้บังเอิญเจอเพื่อนที่เพิ่งเลิกงานมาจึงได้ขับรถตามเพื่อนกลับมายังอู่ซ่อมรถซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

อู่ซ่อมรถดันไปอยู่ใกล้ที่ออกอากาศสถานีวิทยุชุมชน ที่แกนนำม็อบเอาไว้ Propaganda กรอกหูชาวบ้านทุกเมื่อเชื่อวัน ขนาดว่า ละอองเกสรดอกไม้ ยังทำให้เชื่อได้ว่า เป็น “ฝนกรด”

แล้ว ชนชั้นกลางหน้าโง่ ที่ “นิธิ เอียวศรีวงศ์” บอกไม่ยอมอ่านหนังสือก็เชื่อ เพราะเรื่องราวการต่อสู้ของชาวบ้านโรแมนติกเหมือน “หนังฮอลีวู๊ด”
กลับมาเรื่องวิฑูรย์ต่อ

เมื่อไอ้เจมส์มาถึงที่อู่ซ่อมรถก็เห็นนายวิฑูรย์ เดินปรี่มาหาบอกว่า

“ไอ้เจมส์...มานี่ดิ...กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

ไอ้เจมส์ ดันทะลึ่งไม่ยอมคุยด้วย เพราะกลัวนายวิฑูรย์จะ “เล่น”เอา เนื่องจากเดิมไอ้เจมส์เคยเป็น “เสื้อเขียว” ได้ตังค์กินหนมไปหลายบาท แต่จู่ๆกลับ “แปรพักตร”
ไอ้เจมส์ขี้มอเตอร์ไซค์ปรู๊ดออกไปทันที พร้อมๆกับเสียงยิงปืนขึ้นฟ้าไม่ต่ำกว่า 5 นัด
“เหี้ยไรว่ะ...” ไอ้เจมส์สบถหันหลังไปดูเห็น นายวิฑูรย์ ยืนถือปืนจังก้า เป็นจังโก้เมืองคาวบอยเพียงแต่ไม่ได้ใช้ปากเป่าควันที่กระบอกปืนแล้วยืนเท่ห์


ไอ้เจมส์ไม่ได้สนใจอะไร ซิ่งมอเตอร์ไซด์ต่อไปไปบ้านเพื่อน นั่งทานข้าวสบายใจเฉิบก่อนย้อนกลับมาที่อู่ซ่อมรถเพราะไม่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของการยิงปืนขึ้นฟ้า

นายวิฑูรย์แม้อายุจะเข้าเลข ๔ แต่ตาดีเป็นตั๊กแตน เห็นไอ้เด็กรุ่นลูกกลับมาอีกจึงคิดว่า ไอ้นี้อยากลองของ

วิฑูรย์ เดินปรี่ เข้าหา

“ไอ้เจมส์ ใครมันเร่งเครื่องมอ’ไซด์ว่ะ”

“ผลั๊ว !” ไอ้เจมส์แค่ขยับปากจะตอบก็โดนฝามือเบิร์ดไปที่กะโหลก

“สาด...มึงเป็นแกนนำ ทำไมมาทำกับกูงี้!” ไอ้เจมส์เดือด

“นี่เป็นการสั่งสอนมึง..."

ไอ้เจมส์ คะเนดูแล้ว ขนาดร่างแคะแกรนของมัน ยังไงก็สู้ร่างดำบึ๊กของนายวิฑูรย์ไม่ไหว จึงถอยดีกว่า

แต่ก้าวขาวิ่งไปไม่กี่ก้าว

“ไอ้เหี้ย...มึงไม่หยุดกูยิงไส้แตก !” วิฑูรย์ควักปืนขึ้นมาอีก

ไอ้เจมส์ยังจำได้ถึงเสียงปืน5 นัดก่อนหน้า จึงต้องเบรคจนตัวโก่ง

วิฑูรย์ กระหยิ่มในใจ เดินอาดๆ วันนี้กูได้ตบเด็กระบายอารมณ์แล้ว

“เพี๊ยะ !!” คราวนี้ฝ่ามือกระทบเนื้อหนังหัวเต็มๆ

“มึงจำไว้ ไอ้เจมส์”

ชาวบ้านร้านตลาดเห็นเหตุการณ์ตลอด เกรงว่า ไอ้เจมส์จะต้องกลับบ้านเก่าเลยเดินเข้าไปห้ามเรื่องจึงยุติ
“โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” คำพระท่านสอน วิฑูรย์เริ่มได้สติ ควักโทรศัพท์มือถือกดเลข “ตู๊ดๆ”
“เฮ้ยไอ้หน่อย! กูเพิ่งตบเด็กว่ะ ทำไงดี ?”
ไอ้หน่อยที่นายวิฑูรย์เรียกพูดอะไรก็จนด้วยเกล้าที่จะได้ยินแต่สิ่งที่ตามมาคือ
ยายไอ้เจมส์ ซึ่งยังอยู่กลุ่มเสื้อเขียว ยอมความไม่เอาเรื่อง

สิ่งที่ตามมาก็คือ ยายไอ้เจมส์ไปแจ้งความตำรวจบอกนายวิฑูรย์ทำร้ายร่างกายหลาน แต่ไม่แจ้งความเรื่องถูกยิงปืนขู่ ตำรวจเลยปรับนายวิฑูรย์แค่ 400 บาท
ซื้อลิโพแตกตำรวจทั้งโรงพักยังไม่ได้เลย
แต่ก็น่าเห็นใจตำรวจเพราะ
วันที่นายวิฑูรย์ไปหาตำรวจ นางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์บ้านกรูดยกขบวนชาวบ้านไปอีก 30 คน จนผู้คนนึกว่า จะไปยึดโรงพัก
ตำรวจบางสะพาน เห็นม็อบเสื้อเขียวก็ “ขาสั่น-เหยี่ยวเล็ด”

พ.ต.ท.ไมตรี โตวิเศษ รอง ผกก. สภ.บางสะพาน (สส) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บอกว่า ปรับแค่ 400 บาท เพราะ ญาติผู้เสียหายแจ้งความเฉพาะกรณีทำร้ายร่างกาย ส่วนการยิงปืนขู่ไม่มีการแจ้งความตำรวจจึงไม่สามารถดำเนินการอะไรได้
สำนักข่าวใต้ดิน รู้มาอีกว่า ยายไอ้เจมส์ได้เงินค่าทำขวัญหลานอีกก้อนหนึ่ง แต่กระดากอย่าเรียกว่าเป็น “ค่าปิดปาก” เลย


นายวิฑูรย์ ก็เลยเดินกร่างพกปืนเป็นจังโก้ ได้ต่อ เพราะตำรวจไม่กล้ายุ่ง แต่ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป ก็สวด “ธัมโม สังโฆ” กันเองเถิดพี่น้อง