20 พฤษภาคม 2552


ชำแหละ ไทยพีบีเอส




บังเอิญเพื่อนฝูงส่งมาให้อ่าน นี่เป็นอีกด้านของสื่อที่พยายาทหาแนวร่วมกับชาวบ้านด้วยการเป็นพันธมิตรอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะกรณีโรงถลุงเหล็กที่บางสะพาน ซึ่งมี สุพจน์ ส่งเสียง เป็นนักข่าวพลเมืองด้วย เนื้อหาต่อไปนี้เป็นการชำแหละของคนที่มีน้ำหนักในการพูดอย่างถึงที่สุดเวลานี้ "สนธิ ลิ้มทองกุล"


ใครโดนหางเลขบ้าง เก็บเป็นข้อมูลไว้ แล้วจับตาดูพฤติกรรมของพวกเขา ว่าต่อไปคุณจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูดและทำอีกหรือเปล่า


ขอเชิญอ่านได้ ณ บัดนาว



รายการ “Good Morning Thailand” ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เวลา 06.00-07.00 น.วันจันทร์ถึงศุกร์วันที่ 16 เมษายน 2552 ช่วงหนึ่ง "นายสนธิ"ได้กล่าวตำหนิการรายงานข่าวของ"สื่อ"ในเหตุการณ์วันที่ ๑๓ เม.ย.๕๒ โดยเฉพาะ สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส. ที่นำแหล่งข่าวเสื้อแดงที่ส่วนใหญ่เป็น NGO มาสัมภาษณ์

พี่น้องจะสังเกตได้ชัด คุณภาพความกล้าหาญของสื่อระดับโลก ซึ่งเมื่อเทียบกับสื่อโทรทัศน์ไทย และไม่ว่าจะเป็นฟรีทีวีช่องไหน ก็ไม่มีทางจะพัฒนาเทียบเขาได้เลย ช่องทีวีไทย หรือ TPBS พี่น้อง กินเงินภาษีของพวกเราปีละ 2,000 ล้าน แล้วอ้างว่าตัวเป็นทีวีสาธารณะ พี่น้อง กินเงินเดือน กินค่าใช้จ่ายปีละ 2,000 ล้าน แล้วมีพวก NGO นั่งเป็นบอร์ด TPBS มีนายจอน อึ๊งภากรณ์ พี่ชายนายใจ อึ๊งภากรณ์ นั่งอยู่ในคณะกรรมการ มีเงินปีละ 2,000 ล้าน ASTV วิ่งหาเงินเดือนทุกเดือนถ่ายทอด 24 ชั่วโมง ไอ้ทีวีช่องบ้านี่ถ่ายทอด 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนแล้วปิด แล้วก็เอาข่าวต่างๆ มารีรัน นี่มันถลุงเงินภาษีอากรของประเทศ ถลุงเงินภาษีอากรของประเทศผมไม่ว่า แต่ขอให้มีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง

ในช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้นทีวีไทยปล่อยพวกเสื้อแดง ส.ส.เพื่อไทย โกหกออกอากาศ แล้วเน้นสัมภาษณ์แต่พวกนักวิชาการกลางกลวง ริบบิ้นขาวแต่หัวใจเป็นเสื้อแดง ที่ท่องเป็นอยู่อย่างเดียว ไอ้พวกบ้านี่ท่องเป็นอยู่อย่างเดียวพี่น้อง ให้นายกฯ คุณอภิสิทธิ์ยุบสภา ลาออก พยายามหาแง่มุมมาเล่นรัฐบาล เน้นการรายงานข่าวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

ยกตัวอย่างเช่น ใครบ้างที่มาออก นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นายชัยวัฒน์ สถาอนันต์ ที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นนักวิชาการด้านสันติวิธี แต่ไอ้พวกบ้านี่ไม่เคยแก้ปัญหาอะไรให้ประเทศชาติเลย ชอบนัก อหิงสา ชัยวัฒน์ สถาอนันต์ วางฟอร์มว่าตัวเอง หรือว่านายปริญญา เป็นกลาง แต่ไม่เคยออกมาแก้ปัญหาประเทศชาติ เวลาคนเขายิง คนเขาถูกตำรวจยิงตายเป็นสิบๆ คน คุณก็นั่งอมสากกระเบืออยู่ แล้วไอ้ที่พวกเสื้อแดงออกมาเผาบ้านเผาเมืองคุณก็ยังนั่งอมสากกระเบืออยู่ คุณก็บอกว่า ต้องยุบสภา ต้องลาออก ต้องให้นายกฯ อภิสิทธิ์ยุบสภา ลาออก เอ๊ยคุณรับเงินทักษิณ ชินวัตร มาขนาดนั้นเชียวหรือ จนกระทั่งคุณไม่มีปัญญาของความเป็นครูบาอาจารย์ที่จะมาอธิบายเหรอ

ที่ร้ายไปกว่านั้น ไอ้ช่องทีวีบ้านี่ทำข่าวในสถานการณ์วิกฤตที่เสื้อแดงกำลังเผาบ้านเผาเมืองอยู่ ช่องทีวีไทย ทำหน้าที่เสนอความจริงให้ลดความขัดแย้งของสังคมเลย วันจันทร์ที่ 13 เมษายน หลังจากที่พวกเสื้อแดงมันเผาเมืองก่อการจลาจล บีบให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ประมาณ 04.00 น. Thai TPBS เป็นช่องเดียวที่เปิดโอกาสให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. โกหกออกอากาศ โกหกออกอากาศในขณะที่วิกฤตการณ์มันตึงเครียด ลองหลับตาว่ามันกำลังเผาบ้านเผาเมืองอยู่ ไปให้ไอ้นายณัฐวุฒิมันพูดโกหกออกอากาศ ถ้านายณัฐวุฒิมันบอกว่า พี่น้องครับ ในขณะนี้ประชาชนเสื้อแดงถูกทหารยิงตายไปแล้ว 40 ศพ ตรงโน้นๆๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น คุณรับผิดชอบตรงไหนบ้าง Thai TPBS ไทยทีวี คุณรับประทานภาษีอากรของประชาชน ของพวกเราไปปีละ 2,000 ล้าน

อังคารที่ 14 เมษายน ไอ้ทีวีช่องบ้านี่ หลังแกนนำเสื้อแดงประกาศยอมแพ้ Thai TPBS ก็สัมภาษณ์นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน โดยปล่อยให้นายวิทยาโกหกออกอากาศ ว่าเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นเพราะมือที่สาม เห็นหรือยังพี่น้อง

เอาต่อ พุธที่ 15 เมษาฯ รายการเปลี่ยนประเทศไทยของ Thai TPBS ช่วง 3 ทุ่ม ได้เชิญนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือมีฉายาหนูหริ่ง มีนามที่รู้จักกันดีว่า บก.ลายจุด มาออกอากาศเพื่อช่วยชี้ทางออกให้สถานการณ์บ้านเมือง โดย Thai TPBS ขึ้นเครดิตว่าเป็นประธานมูลนิธิกระจกเงา แต่ให้ทัศนะต่างๆ เข้าทางเสื้อแดงและ นช.ทักษิณ ตลอด

เอาล่ะ ให้ผมฉีกหน้ากากไอ้บ้านี่ ไอ้บ้านี่ บก.ลายจุด เห็นไหม เห็นเสื้อไหมในรูป มันก็คือพวกเสื้อแดง มันร่วมกับ PTV ของนายวีระ จตุพร ณัฐวุฒิ จักรภพ มันเป็น นปก.รุ่นที่ 2 นี่คือ นปก.ตัวจริง หลังจากแกนนำรุ่นที่ 1 ถูกจับกรณีบุกจลาจลหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ และมันเป็นคนที่จัดทำสติ๊กเกอร์ "เบื่อม็อบพันธมิตรฯ" และมีกิริยาหยาบคาย ถ่อย สถุล ดูสิดูมันชูนิ้วกลาง เห็นไหม นี่ไงคือคนที่ Thia TPBS เอามาออก เอาคนสถุนอย่างนี้มาออกว่าหาทางออกให้ชาติบ้านเมือง

Thai TPBS ก็เลยกลายเป็น กลายเป็นใครรู้ไหม กลายเป็นเครื่องมือ คนที่บอกว่าเป็นประธานชมรม มูลนิธิบ้าบอ นี่คือเสื้อแดงไง เห็นหรือยัง กินภาษีอากรเราปีละ 2,000 ล้าน

ดูคุณเทพชัย หย่อง หน่อย น่าเสียดาย น่าเสียดายมาก น่าเสียดายจริงๆ คุณเทพชัย หย่อง คุณต้องระวังเรื่องนี้ให้มากๆ นะ เพราะคุณจะเอาความเห็นอีกด้านหนึ่งมา ถ้าคุณเอาความเห็นให้คนได้พูดเท่าเทียมกัน ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณให้คนออกมาใส่ร้าย มันไม่ใช่แล้วคุณเทพชัย ผมอยากให้แก้ แล้วพิธีกร Thai TPBS นะ คุณกรุณา กับคุณนาตยา ก็ใช้ไม่ได้ ถ้าคุณแน่จริงคุณเอาสองฝ่ายมาออกสิ คุณเอา อ.เจิมศักดิ์ คุณพิภพ ธงไชย มายันกับไอ้พวกนี้สิ มายันในเหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นว่าใครผิดใครถูก ใครเผาบ้านเผาเมือง

วันก่อนนี้ Thai TPBS ไปทำรายงานสัมภาษณ์เสื้อแดง แล้วเสื้อแดงให้สัมภาษณ์ผิดๆ แต่คนทำสกู๊ป ผู้สื่อข่าว Thai TPBS ก็ไม่แก้ไขข้อมูลที่ผิด อย่างเช่นเรื่องคนตาย นี่ ไอ้ บก.ลายจุด ใส่เสื้อแดง ชูนิ้วกลาง เป็นพวกทักษิณ ชินวัตรชัดๆ ยังทะลึ่งเอามาพูดออกอากาศช่วยชี้ทางออกให้สถานการณ์บ้านเมือง ปัดโถ... เฮ้อ...

แล้ว Thai TPBS ชอบเอาใครรู้ไหม นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บก.บห.เว็บไซต์ประชาไท ที่หมิ่นสถาบันกษัตริย์ตลอดเวลา มาให้ทัศนะเรื่องสื่อบ่อยครั้ง ประชาไทมันไม่ใช่สื่อ มันเป็นแหล่งที่รวมโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ถูกตำรวจเข้าตรวจค้น และไอ้เว็บไซต์ประชาไทนี่ก่อตั้งโดยนายจอน อึ๊งภากรณ์ และนายจอน อึ๊งภากรณ์ ปัจจุบันก็เป็นกรรมการ Thai TPBS และเป็นพี่ชายนายใจ อึ๊งภากรณ์

พิธีกร เช่นกรุณา บัวคำศรี นาตยา แวววีรคุปต์ ก็เอียงเข้าข้างพวก NGO พวกนักวิชาการกลางกลวง จะเน้นพวกกลางกลวงและพวกเสื้อแดง โชคดีอย่างหนึ่ง พี่น้องครับ ผมฝากบอกคุณเทพชัย ว่าการเปิดโอกาสให้คนพูดเท่าเทียมกัน กับการปล่อยให้คนโกหกออกอากาศนั้นแตกต่างกัน คุณเทพชัยครับ Thai TPBS ที่บอกว่าตัวเองเป็นสื่อมืออาชีพนั้น ต้องแยกแยะให้ออก แล้วชอบพูดนักว่าก่อตั้ง TPBS ให้เหมือน BBC ปุดโถ..... พวกคุณที่อยู่ Thai TPBS คุณอายบ้างหรือเปล่า คุณน่ะไม่มีวันที่จะเป็น BBC ได้เลย ไม่มีวันครับ และคุณใช้ประชาชน เงินประชาชนปีละ 2,000 ล้าน เอาไปละเลงในหมู่ NGO พรรคพวกคุณเอง ผมนี่อยากเสนอให้ยุบ Thai TPBS เสียด้วยซ้ำ ไอ้เงิน 2,000 ล้านบาทนั้น เอามาให้ ASTV ทำ ยังจะช่วยชาติบ้านเมืองได้ดีกว่าเยอะเลย แล้วแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองได้หมด

เอาให้พวกคุณสำเร็จความใคร่ ความเป็นกลางกลวงของพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นไอ้พวกนักวิชาการริบบิ้นขาว ไอ้พวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน หรือไอ้พวกกลางกลวง ไอ้พวกที่แอบ อีแอบ แท้ที่จริงแล้วเป็นพวกเสื้อแดงทั้งสิ้น

เวลาทำข่าว ทำสกู๊ป ก็โน้มน้าวให้คนเข้าข้างพวกกลางกลวง นักวิชาการริบบิ้นขาว หลายครั้งก็ปกป้องเสื้อแดง ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ประเทศชาติเลย นอกจากนั้นแล้ว พวกนี้ยังฉกฉวยซ้ำเติมวิกฤตบ้านเมือง เสนอ Agenda ให้อภิสิทธิ์ยุบสภา โชคดีอย่างพ่อแม่พี่น้อง ท่านผู้ชม เรทติ้ง Thai TPBS มันยังแพ้ ASTV เลย มันต่ำมาก ก็มันไม่ต่ำได้อย่างไรเล่า มันทำมาตั้งนาน มันยังสู้ช่อง 11 ไม่ได้เลย แล้วช่อง 11 ก็ยังสู้ช่องเราไม่ได้เลย ช่อง 5 ช่อง 9 บางครั้งก็สู้เราไม่ได้

น่าเสียดาย คุณเทพชัย ผมว่าคุณต้องแก้ไขเรื่องนี้แล้ว ใช้ไม่ได้เลย ผมนี่จับผิดได้ทุกจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้ บก.ลายจุด ที่มันแสดงความสถุลออกมา ชูนิ้วกลาง

19 พฤษภาคม 2552


“หาญณรงค์ เยาวเลิศ”
มหาสมุทรสุดลึก หยั่งได้
แต่ใจคนยิ่งกว่า


“หาญณรงค์ เยาวเลิศ”หรือ พี่หาญ ของเพื่อนพ้องน้องพี่เอ็นจีโอ รับรู้กันว่า พี่หาญ เป็นเอ็นจีโอ มาตลอดชีวิตการทำงาน ประวัติของพี่หาญ ที่แจ้งต่อสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สป. ก็คือประสบการณ์ทำงานในฐานะเอ็นจีโอ ที่จับเรื่อง “ฐานทรัพยากร”
(ดูรายละเอียด: http://www2.nesac.go.th/nesac/th/about/members_detail.php?did=06100078)
ดังนั้นการได้เข้ามาเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯของหาญณรงค์ก็น่าจะมาจากการอุ้มชู ผลักดันของเพื่อนพ้องน้องพี่ในเครือข่ายเอ็นจีโออย่างปฏิเสธไม่ได้
เครือข่ายพี่น้องที่เคยแสดงพลังช่วยเขาเมื่อคราวมีปัญหากับ พิสิษฐ์ ณ พัทลุง สมัยทำงานอยู่มูลนิธิสัตว์ป่าและพันธ์พืช
ในการต่อสู้บนหน้าสื่อ พิสิษฐ์ อาจตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยเฉพาะการโจมตีเรื่องที่พิสิษฐ์ เปิดร้านอาหารแล้วมีสวนสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหารตา (ดูรายละเอียด:
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=78335)
ภาพที่ปรากฏต่อหน้าสื่อดูราวพิสิษฐ์เอาสัตว์ป่ามากักขังสนองตัณหาวิปริตของคนเมือง แต่ถ้าไปดูในเวปไซด์ของร้านอาหารดังกล่าวก็เป็นอีกเรื่อง(ดูรายละเอียด:
http://www.deratchan.com/)
กระนั้นก็ตาม ข้อมูลที่เปิดจากปากของพิสิษฐ์ถึงปมที่จะต้องวิวาทะกับหาญณรงค์และ สุรพล ดวงแข
"ตอนที่ผมเป็นเลขาธิการครั้งสุดท้าย มอบงานให้คุณสุรพลไปมีอยู่ประมาณ 22 ล้าน แต่พอถึงวันนี้เงินแค่ 1 ล้านบาท พอจะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น อีก 3 เดือนข้างหน้าจะไม่มีเงินจ่ายแล้ว ผมในฐานะประธานจึงต้องแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด ให้องค์กรอยู่รอด สิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำโดยทันที คือการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจในการเซ็นเอกสารสั่งจ่ายเงินทางธนาคาร ส่วนมาตรการสุดท้ายจริงๆ ถ้าจะต้องขายทรัพย์สินขององค์กรบางส่วนก็ต้องยอม..”
และ
“ขอบอกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องคอร์รัปชั่น แต่เป็นการใช้เงินผิดประเภท คือการบริหารงานของเลขาธิการ และระบบบริหารการเงินไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของมูลนิธิ หลายโครงการไม่มีเงิน 15% เข้าสำนักงานกลาง และยังใช้ชื่อองค์กรหาผลประโยชน์ขอการสนับสนุนทางการเงิน แต่ดำเนินการภายใต้ความพอใจของหัวหน้าโครงการ โดยเลขาธิการไม่สามารถควบคุมและไม่บริหารบนหลักการที่ถูกต้อง ไม่มีวินัยในการใช้เงิน เช่นเรื่องของเงินสำรองจ่าย ไม่มีการเคลียร์คืน เป็นต้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนคนเป็นธรรมดา.."
ใครจะบอกว่า กระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯไม่มีการ “ล็อบบี้” นั้น บอกตามตรงว่า “ตีให้ตายก็ไม่เชื่อ”
“โอ้ ลาภ ยศ สรรเสริญ เมื่อเข้าไปหลงติด มันชั่งปิดทางนิพพานปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง” คือ คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
เชื่อว่า หาญณรงค์ก็อยากจะนั่งเก้าอี้ สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯเป็นสมัยที่สอง
แน่นอนว่า การจะได้นั่งเก้าอี้นี้มันต้องมีกระบวนการลงแรง ลงแขก เหมือนนักการเมืองเวลาจะลงเลือกตั้งนั่นแหละ
ใครจะบอกว่า ตัวเองได้มาด้วยเสียงบริสุทธิ์ ตีให้ตายก็ไม่เชื่ออีกนั้นแหละ
เพราะสภาที่ปรึกษาฯนั้น “ล็อบบี้ –ช่วงชิง” กันมาตั้งแต่การเริ่มก่อตั้งองค์กร ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งโอนกันมาจากสภาพัฒน์ฯที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำหน้าที่เลขานุการ รวมถึงตัวคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ
เพียงแต่ในช่วงแรกมี “อานันท์ ปันยารชุน” นั่งสร้างบารมีให้อยู่สองสมัย ต้นทุนทางสังคมของผู้ดีรัตนโกสินทร์ก็เลยทำให้หลายคนไม่กล้าแตะ แม้ผลงานของสภาที่ปรึกษาฯจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
รัฐธรรมนูญปี ๔๐ นั้นออกแบบมามีกลไกสอดรับกันและกัน แต่วันนี้รัฐธรรมนูญ ๔๐ โดยฉีกทิ้ง สภาที่ปรึกษาฯก็อยู่เป็นองค์กรกินภาษีชาวบ้านต่อไป แม้ภารกิจจะซ้ำซ้อนกับอีกหลายหน่วยงานและผลงานจับต้องเอาไปใช้ไม่ได้
อย่าลืมว่า เจตนารมณ์แต่เริ่มแรกคือ สภาที่ปรึกษาฯเป็นเหมือนผิวหนังสะท้อนความรู้สึกของสังคมขึ้นไปยังฝ่ายการกำหนดนโยบายรัฐ แต่รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้กำหนดบังคับว่ารัฐบาลจะต้องทำตาม มันเป็นกลไกที่กำหนดไว้ถ่วงดุลการเมืองแบบพรรคเดียว
แต่วันนี้การเมืองแบบพรรคเดียวคนก็ไม่เอาแล้ว สภาที่ปรึกษาฯจะมีอยู่ไปทำไมมีก็ไม่รู้ได้
ใครจะอ้างว่า สป.ไม่มีเงินเดือน แต่เบี้ยประชุม งบในการศึกษาก็ล้วนมาจากภาษีประชาชนทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ใช้ก็มักเป็นคนจากสายเอ็นจีโอ นี่ยังไม่นับรวมต้นทุนจากหน่วยงานต่างๆที่จะต้องมาคอยอำนวยความสะดวกให้อีกไม่รู้เท่าไหร่
ความจริงเอ็นจีโอที่มีระบบคิดเอียงซ้ายแบบหาญณรงค์น่าจะปฏิเสธ “ระบบ” แล้วลงมาทำงานในเชิงการเมืองภาคประชาชนจะดูสง่างามกว่า
ยอมอดอย่างเสือ ดีกว่า มารับเบี้ยประชุมเล็กๆน้อยๆ ในองค์กรที่มีอยู่ก็เปลืองภาษีประชาชน
ยอมอดอย่าเสือดีกว่าอยู่ในองค์กรใหญ่ นั่งทำงานให้ห้องแอร์ แล้วให้ผู้คนตั้งคำถามว่า “หน้าที่การงานดี ร่ำรวยแล้วแต่ทำไมทำบุญแค่ร้อยเดียว” (ดูรายละเอียด:
http://www.skyd.org/html/activity/boon48_donate.html)

หาญณรงค์อาจตอบกลับ ทำบุญขึ้นอยู่กับศรัทธา นั่นก็ย่อมเป็นสิทธิ แต่หากคนจะมองในอีกมุมตรงข้ามก็ย่อมเป็นสิทธิเช่นเดียวกัน
ในยุค ที่สังคม ตีค่าคน ที่ ความเด่น ความดัง มันทำให้เกิด Hero ได้ง่าย เป็น ประมาณ Accidental hero เหมือนที่ยุคหนึ่ง “สมพงษ์ เลือดทหาร” สร้างบทเรียนให้สังคมไทย จนหน้าแหกกันไปเป็นแถว แต่ไม่นานคนไทยก็ลืมบทเรียนนี้
สังคมที่เห่อกับกระแส ดี เด่น ดัง แบบไม่ลืมหูลืมตาเลยตกเป็นเหยื่อของไฮโซอยากดัง รวมถึงเอ็นจีโออยากไต่เต้า
หาญณรงค์ วันนี้ออกมาประโคมข่าวสร้างกระแสกับการผลักดันพื้นที่ชุ่มน้ำประมาณว่าอยากจะสร้างผลงานให้เข้าตากรรมการ
หาญณรงค์รู้ว่า แม้แต่ประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมไม่ว่าจะจีน ญี่ปุ่น เกาเหลี ก็มีการประกาศพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่เขาก็ไม่ยอมพูดประเด็นนี้
แต่กลับเอาประเด็นเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำเข้าสู่ วิวาทะการพัฒนา ซึ่งมีทางออกเดียวคือ เมื่อมีพื้นที่ชุ่มน้ำก็ไม่เอาการพัฒนา เหมือนเขารู้ว่า ประเด็นความขัดแย้งย่อมเป็นข่าว
หาญณรงค์รู้ดีว่า พื้นที่ชุ่มน้ำนั้นต้องขอการมีส่วนร่วมจากชาวบ้านแบบไม่เลือกสีเลือกข้างแต่เขาก็เลือกจะฟังแต่คนที่อยู่สีเขียว
หาญณรงค์รู้ดีกว่า การประกาศพื้นที่ชุ่มน้ำยังมีหลายขั้นตอน มีหลายทางเลือก และบางทางเลือกก็เป็นการรวมพื้นที่ซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมเข้าไปด้วย แต่เขาก็ประโคมข่าวเหมือนกับข่าวจะประกาศวันนี้พรุ่งนี้โดยไม่ฟังเสียงคนค้าน และเป็นการสื่อสารต่อสาธารณะในลักษณะ เมื่อมีพื้นที่ชุ่มน้ำก็ไม่เอาการพัฒนาอุตสาหกรรม
เราไม่รู้ว่า ทำไม เขาจึงปรากฏเป็นข่าวมากนักในช่วงนี้ แต่เมื่อมาดูวาระตำแหน่งการเป็น สป.ก็ถึงบางอ้อว่า กำลังอยู่ในเทศกาลสรรหา สป.ชุดใหม่
ซึ่งตามกฎหมาย สป.สามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิดสองครั้งติดต่อกัน
มองหาญณรงค์แล้วนึกถึงคำหนึ่งว่า “จะมีไหม ใครสักคนที่ทำงานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน”
นั่งคิดอยู่นาน หาทางออกไม่เจอ
“ห่วย...จังซี๊...มันต้องถอน....”