07 ธันวาคม 2551

อวยพร แต้ชูตระกูล ปีกซ้ายไร้เดียงสา




นึกว่าจะมีแต่นักการเมืองพรรคหนึ่งที่นักการเมืองและนักข่าวการเมือง ได้ยินได้ฟังกันมานานว่า มี “ม็อตโต้”ประจำพรรคว่า “เล่าความเท็จ ...เมียเพื่อน”
คำในช่องว่างต้องขอเว้นวรรค เซ็นเซอร์ ตัวเอง เพราะหยาบโลนเป็นตัวอย่างไม่ดีสำหรับเยาวชนไทย
แต่ประเด็นก็คือ กลุ่มปัญญาชน ที่ “ให้ท้าย”ม็อบประจวบฯ
ทั้งๆที่แกนนำอย่างจินตนา แก้วขาว ประกาศใช้ความรุนแรงในการเรียกร้องคัดค้านโครงการพัฒนาฯของรัฐว่า “มึงสร้างกูเผา” “มึงสร้างนองเลือดแน่” แต่ปัญญาชนกลุ่มนี้ก็พยายามเอาวิชาการ-องค์ความรู้ มาอธิบายสร้างความชอบธรรม
เหมือนที่นักวิชาการกลุ่มหนึ่งเคยให้ท้ายพันธมิตรฯจนประเทศต้องมีรายจ่ายมหาศาลให้กับการเมืองประชาภิวัฒน์

“อวยพร แต้ชูตระกูล” คือ หนึ่งในกลุ่มปัญญาชนที่มีพฤติกรรมให้ท้ายม็อบประจวบฯ
“อวยพร” ใช้สื่อและเครือข่ายฯของตนเองผลิตวาทกรรมต่อต้านการพัฒนาและทุนไทย แต่ในอีกด้านเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธรากและพฤติกรรมแตะหมูเข้าปากหมาได้
อวยพร มีพ่อเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง อวยพรกล้าพูดได้เต็มปากหรือไม่ว่า งาน ที่พ่อของเธอได้แต่ละชิ้นเป็นการประมูลที่โปร่งใส ไม่มีค่าหน้านาย ไม่มีการเลี้ยงโต๊ะจีนเวลาตรวจรับงาน
อวยพร มีพี่สาวทำรีสอร์ตอยู่ จ.ประจวบฯ คือ สุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล ซึ่งก็เป็นที่แน่ชัดว่า ย่อมเกิดความกลัวว่าการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมอาจกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวของ
อวยพรกล้าพูดได้หรือไม่ว่า การเลือกจุดยืนให้ท้ายม็อบประจวบฯไม่มีวาระซ่อนเร้นเหล่านี้
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sunnews&month=06-2008&date=02&group=3&gblog=14
อวยพร ปฏิเสธ พลังงานจากฟอสซิล แต่ทำไมเธอยังยอมเข้าไปรับตำแหน่งบรรณาธิการนิตยสารโลกสีเขียว ซึ่งเป็น “เศษเนื้อข้างเขียงของ ปตท.”
อวยพรอธิบายจุดยืนนี้อย่างไรโดยเฉพาะเมื่อโครงการท่อก๊าซปตท.สร้างผลกระทบให้กับพี่น้องชาวจะนะ จ.สงขลา และวันนี้ยังมีการคัดค้าน แต่ดูเหมือนจะดูงบประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์กลบจนแทบไม่ได้ยินเสียงของพี่น้อง อ.จะนะ
อวยพรกล้าพูดหรือไม่ว่า การสนับสนุนพลังงานทางเลือกไม่เป็นการแตะหมูเข้าปากหมากลุ่มทุนพลังงานทางเลือกที่พยายามกดดันรัฐไทยให้ออกนโยบายสนับสนุนทุนพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะทุนข้ามชาติจากกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย
http://www.greenpeace.org/seasia/th/campaigns/climate-and-energy
ในบทความ “ตัดแปะ”ของอวยพร เรื่องโรงถลุงเหล็กบางสะพานกับความพยายามสร้าง HIA บนความขัดแย้ง ตีพิมพ์ในหนังสือเผยแพร่ของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติสะท้อนพฤติกรรม พูดความจริงไม่หมด โดยอ้างอิงถึงความรุนแรงในพื้นที่แต่เฉพาะผลกระทบต่อแกนนำม็อบอย่างกรณีการลอบยิงบ้านสุพจน์ ส่งเสียง
ทั้งๆทีร่ำลือกันในพื้นที่ว่า อาจเป็นการสร้างสถานการณ์
แต่อวยพรไม่ยอมพูดถึงความตายของรักศักดิ์ คงตระกูล ลูกจ้างเครือสหวิริยา ที่ถูกยิงตายระหว่างเหตุการณ์ที่ม็อบเสือเขียวนำคนไปขัดขวางการปรับพื้นที่โครงการโรงถลุงเหล็กเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551
ภาษิตฝรั่งบอกว่า พูดความจริงไม่หมด ก็เท่ากับการ “โกหก”
อวยพรยังพูดความจริงไม่หมดอีกในกรณีการรุกที่ดินสาธารณะของเครือสหวิริยา โดยอ้างอิงคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯนางอนงค์วรรณ เทพสุทินว่า “พื้นที่สาธารณะก็คือที่ดินของหลวง จะเป็นสมบัติของใครคนใดไม่ได้”
อวยพร พูดความจริงไม่หมดว่า การใช้ที่ดินสาธารณะนั้นสามารทำได้โดยการเช่าและมีระเบียบขั้นตอนปฏิบัติ ซึ่งกรณีการใช้ที่ดินสาธารณะของเครือสหวิริยาก็มีการขออนุญาตและทำประชาคมกับชาวบ้านในพื้นที่
http://www.innnews.co.th/local.php?nid=128003
แม้ว่าวันนั้นจะมีความพยายามล้มการประชาคมหรือจัดกิจกรรมเพื่อคัดค้านการเช่าที่เช่นรวบรวมรายชื่อค้านซึ่งก็มีลักษณะการแอบอ้าง
http://www.posttoday.com/news.php?id=3357
หรือกระทั่งจัดกิจกรรมพัฒนาทางสาธารณะ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้แทบไม่เคยใช้
















(ภาพบน)สภาพที่สาธารณะซึ่งเครือสหวิริยาขอเช่า (ภาพล่าง)ชาวบ้านกลุ่มคัดค้านจัดกิจกรรมโดยเข้าไปปรับปรุงถนนแสดงเจตนารมณ์ว่าชาวบ้านยังใช้ที่อยู่


การอ้างอิงคำกล่าวของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯนางอนงค์วรรณ เทพสุทินว่า “พื้นที่สาธารณะก็คือที่ดินของหลวง จะเป็นสมบัติของใครคนใดไม่ได้”
อวยพรจะอธิบายอย่างไรกับการขอในกรณีการรุกที่ดินบริเวณดอนศาลเจ้า จำนวน 10 ไร่ ซึ่งนางจินตนาและชาวบ้านจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ในลักษณะไม่มีเอกสารสิทธิและสำนักข่าวใต้ดินได้นำเสนอไปแล้วในเรื่องที่ดินสาธารณะมึงผิด-กูไม่ผิด อวยพรจะอธิบายอย่างไรที่การทำประชาคมเพื่อให้เช่าที่ดินสาธารณะต้องล่ม แต่ก็ยังมีการดันทุรังต่อที่จะให้มีการเช่าที่ดินผืนดังกล่าวให้ได้
http://www.innnews.co.th/local.php?nid=141750
การ “ให้ท้าย” การพูดความจริงไม่หมด นำหายนะสู่ประเทศมาแล้วดังกรณีพันธมิตรฯ อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเพียงเพราะปัญญาชนร้อนวิชาและเดียงสาต่อโลกอีกเลย

02 พฤศจิกายน 2551

“นิธิ เอียวศรีวงศ์”กับข้อหา “ไฮแจ๊กเมียเพื่อน”







“นิธิ เอียวศรีวงศ์” ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งจุดประกายความคิดบรรเจิดขณะกรึ่มเบียร์ร้านหมูจุ่มที่เชียงใหม่ และเป็นกลุ่มนักวิชาการที่มีบทบาทเป็น “ป๋าดัน”ให้กับกลุ่มเอ็นจีโอสู้กับรัฐบาลโดยเฉพาะในยุคทักษิณ ก็เป็นกำลังหลักในการล้มโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก-หินกรูด
ถ้าไม่มี “ปรากฏการณ์พันธมิตรฯ” เชื่อแน่ว่า อาจไม่มีคำถามจนกลายมาเป็นบทความชิ้นนี้
เพราะก่อนหน้านี้ นักวิชาการ ฝ่าซ้าย มักอยู่ขั้วตรงข้ามรัฐบาลเป็นปรากฏการณ์ปกติ แต่เมื่อมีม็อบพันธมิตรฯ การแยกขั้วเกิดขึ้นทุกวงการ


คำถามที่น่าคิดก็คือ แล้วพี่น้องที่ประจวบฯซึ่งเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ มีอาจารย์นิธิเป็น “ปัญญาชนแถวหน้า” ผลิตและขยายผลองค์ความรู้ในสงครามชิงทรัพยากรนั้น ความสัมพันธ์ยังดีกันอยู่หรือไม่
เพราะจะว่าไปแล้ววันนี้ อาจารย์นิธิ ผู้เคยนิยามตัวเองเป็น หมูชอบโอ่ความเป็นตัวผู้และนิยมให้ “กล้วย” คนที่อยู่ขั้วตรงกันข้าม กลับถูกจัดพวกให้อยู่ขั้วตรงข้ามพันธมิตรฯ หรือกลายเป็นพวกทักษิณ
เมื่อเวลา 22.40 น.วันที่ 22 ก.ย. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล ด่าอาจารย์นิธิฯอย่างถึงกึ๋นว่า “ไฮแจ็กเมียเพื่อนมาเป็นเมียตัวเอง”


“เขาว่ามหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเป็นมหาวิทยาลัยเลือก ตกลงก็เลือกเอาเมียเพื่อนมาทำเมียตัวเอง แค่นี้ก็ผิดศีลธรรม ร้ายแรงแล้ว ถ้าเป็นข้าราชการประพฤติชั่วอย่างนี้โทษต้องไล่ออกจากราชการ คุณไม่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัวลูกเมียแล้วคุณจะซื่อสัตย์กับใคร” นี่คือถ้อยคำของสมศักดิ์ โกสัยสุข
(อ่านเนื้อหาสมบูรณ์ได้จากhttp://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000112543)



ประเด็นที่สมศักดิ์ หยิบยกมาโจมตีอาจารย์นิธินั้น อาจถือเป็นจุดอ่อนอย่างถึงที่สุดของอาจารย์นิธิ แต่สมศักดิ์อาจยังไม่ได้อัพเดทข้อมูลว่า กับงานนี้อาจารย์นิธิถูกแอนตี้ถึงขนาดว่าเพื่อนนักวิชาการร่วมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็ไม่อยากสังฆกรรม จนอาจารย์นิธิต้องขอลดบทบาทตัวเองออกมาจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และมาร่วมกับ “อาจารย์ สุชาดา จักรพิสุทธิ” ตั้ง “สถาบันการศึกษาทางเลือก” โดยประเดิมงานแรกเพื่อหวังสร้างผลงานขอทุนทำวิจัยต่อก็คือ การมาเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นกรณีความขัดแย้งโครงการโรงถลุงเหล็กที่บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์



แต่ความเป็นมือใหม่หัดขับ แม้จะได้รับการเปิดโอกาสให้ใช้ประเด็นโรงถลุงเหล็กเป็นบันไดขั้นเพื่อสร้างบทบาทต่อสาธารณะแต่ในทางปฏิบัติสาระของการรับฟังความคิดเห็น กลับเป็นความเห็นฝ่ายเดียวคือจากฝ่ายคัดค้าน
สุชาดา จักรพิสุทธิ์

เพราะเวลานั้นการสร้างบรรยากาศอาณาจักรความกลัวแพร่ปกคลุมพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อมีการยิงลูกจ้างของบริษัทสหวิริยา นายรักศักดิ์ คงตระกูล (ปัจจุบันยังไม่สามารถเอาคนยิงมาลงโทษ) ขณะเดียวกันก็มีการประกาศเชิญชวนตามหน้าสื่อที่เป็นแนวร่วมแคบๆ จึงไม่มีตัวแทนฝ่ายสนับสนุนโครงการเข้าร่วมประชุม
พูดภาษาชาวบ้านก็คือ เวทีกลางรับฟังความคิดเห็น ล้มไม่เป็นท่า สร้างความฉุนเฉียวให้กับคนที่เล่นบทป๋าดันเป็นอย่างยิ่งถึงขนาดหลุดคำ “ความเป็นกลางระหว่างไข่สองลูก” ในบทความตีพิมพ์ในมติชน(http://www.oknation.net/blog/ngo/2008/03/03/entry-1)


กับเรื่องวุ่นๆทางการเมือง อาจารย์นิธิ ออกจะเป๋ๆ อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการปฏิวัติ 19 กันยายน การสัมภาษณ์และบทความออกไปในแนวทางที่นักวิชาการอย่างสมศักดิ์ เจียมธีระสกุลต้องเขียนบทความตำหนิ ว่าเป็นท่าทีสนับสนุนการปฏิวัติ(http://somsakcouppostings.blogspot.com/2006/09/peaked.html)
แต่ไปๆมาๆ ในช่วงเกือบ “ตกขบวน” อาจารย์นิธิก็ออกมาประกาศจุดยืนแสดงความเห็นในขั้วตรงข้ามกับพันธมิตรหลายกาลและวาระ แต่นัยยะก็คือ อาจารย์นิธิยังเชื่อในเรื่องของระบบเลือกตั้ง
“ระหว่างการยุบสภากับการกดดันให้ลาออก ผมคิดว่ายุบสภาดีกว่า ยุบสภาคือการให้อำนาจกลับคืนให้ประชาชนตัดสินใหม่ ส่วนยุบแล้วกลุ่มพันธมิตรจะเลิกไหม ผมก็อยากจะตอบว่าเลิกไม่เลิกก็เรื่องของคุณ ถ้าหลังการเลือกตั้งคนเลือกพรรคพลังประชาชนกลับมาใหม่อีก แล้วคุณยังไม่เลิกก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างกลับเข้าไปสู่ระเบียบก็ต้องใช้พลังทางสังคมเข้าไปจัดการ” (http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=13583&Key=HilightNews)
ท่าทีของอาจารย์นิธิ จึงต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับแกนนำม็อบที่ประจวบคีรีขันธ์ ไม่ว่าจะเป็นจินตนา แก้วขาว,สุพจน์ ส่งเสียง และวิฑูรย์ บัวโรย ที่แม้ยังไม่ออกมาร่วมขบวนกับพันธมิตรฯโดยตรงแต่ก็เคยให้สัมภาษณ์โจมตีรัฐบาลพรรคพลังประชาชนหลายต่อหลายครั้ง และโดยการตีความก็เหมือนอยู่ในภาวะเป็นแนวร่วมกับพันธมิตรฯนั่นแหละ

วันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแกนนำม็อบประจวบฯกับอาจารย์นิธิ ยังญาติดีกันอยู่หรือ ?

ที่ผ่านมาซึ่งท่านบอกสู้เพื่อชาวบ้านเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมยังเชื่อได้อยู่หรือ ?
เพราะถ้อยคำของสมศักดิ์ “คุณไม่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัวลูกเมียแล้วคุณจะซื่อสัตย์กับใคร” มันดังก้องอยู่ในหัวว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่าที่ผ่านมาพวกท่านพูดความจริงทั้งหมด
ถ้าจะบอกว่า ความคิดทางการเมืองแตกต่างแต่ไม่แตกแยก บอกตามตรงว่า ถึงวันนี้เชื่อยากเพราะขนาด “ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” ยังถูกด่าว่า “ทะลึ่ง”
แกนนำม็อบประจวบฯกล้าที่จะลุกขึ้นมาปกป้องอาจารย์นิธิจากการใส่ไฟของแกนนำพันธมิตรหรือท่านจะเลือกยืนในบทบาทให้ท้ายพันธมิตรฯ
พวกเราอยากเห็นจุดยืน !!!

31 ตุลาคม 2551

ยิ่งตี ยิ่งดัง ตำรวจหงอ-ผู้ว่าฯถอย




โบราณว่า กลองดี ยิ่งตี ยิ่งดัง แต่ที่ “โต๊ะอาชญากรรม” กำลังนำเสนอนี้ เป็นเรื่องในแง่ลบ คือ ยิ่งตี(กัน)ยิ่งดัง
บ้านเราทุกวันนี้วิปริต นิยมความรุนแรงกันมากขึ้น ตัวอย่างการใช้ความรุนแรงเรียกร้องต่อรองแล้วได้ผลมีให้เห็นจนเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ
ข้อเรียกร้องจากเรา ที่มีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม ผบก.ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์ คนใหม่ ถอดด้าม แม้จะมีผลงานจับโจรยิง สจ.โต้ง-นายโสธร โพธิ์น้อย แต่ฝีมือปราบความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับมวลชนกลับนิ่งสนิท
กระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายปานชัย บวรรัตนปราณ ซึ่งเคยบอกว่า ผ่านมาหมดแล้ว จังหวัดที่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างม็อบกับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นที่ระยอง หรือ เหมืองแร่โปแตสที่อุดรธานี โรงงานแทนทาลั่มที่ภูเก็ต
มาเจอม็อบประจวบฯเข้าก็ยังต้องบอก “ถอยดีกว่า”
แถมแนะให้ม็อบเข้ากรุงเพื่อร้องสภาพัฒน์ยกเลิกยุทธศาสตร์พัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกและภาคใต้ ให้เหตุผล “ผู้ว่าฯ แปดหลัก” ทำตามนโยบายส่วนกลาง
เหตุการณ์นี้ทำให้อดนึกถึงยุค “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ได้ว่า หากผู้ว่าฯคนไหนแก้ปัญหาให้ประชาชนไม่ได้จนต้องยกขบวนเข้ากรุง ผู้ว่าฯ คนนั้นจะต้องตามมากินนอนกับพี่น้องที่กรุงเทพฯด้วย




วันนี้ม็อบพอใจตำรวจและผู้ว่าฯ แต่ประชาชี “เป็นงง” ว่า คดีที่คั่งค้างเป็น 60-70 คดี ตามคำบอกของ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุขแสวง ผกก.สภ.อ.บางสะพาน ซึ่งแกนนำม็อบแล้วบอกว่า ชุมชนแตกแยกนั้น จะจบดื้อๆด้วยหรือเปล่า
จินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์บ้านกรูด ให้ข่าวรายวันว่า อิทธิพล อาวุธ ตำรวจ ทหารนอกเครื่องแบบ เต็มพรึบ
“มันเป็นอะไรที่ลึกลับ ลับลมคมใน โดยเฉพาะคนในเครื่องแบบที่พร้อมจะมีความรุนแรง อยู่ที่นี่หมด" แกนนำม็อบระบุ
เหมือนตบหน้าเจ้าหน้าที่รัฐฉาดใหญ่ ซึ่งไม่มีแม้แต่คำแถลง ชี้แจง นั้น ตกลงไม่มีอะไรในกอไผ่แล้วหรือไม่
นี่ยังไม่นับกับคำพูดของแกนนำม็อบที่ว่า “เขาจะล้มเราให้ได้ก่อนเดือนตุลาฯ” ซึ่งก็เกือบจะเดือนพฤศจิกายนแล้ว แต่ปรากฏ คนเจ็บ-ตาย จากความขัดแย้งนี้ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนา
ไม่ว่าจะเป็นการตายของรักศักดิ์ คงตระกูล ลูกจ้างบริษัทสหวิริยา ,การโดนระเบิดปิงปองของนาวิน วิรุฬรังสรรค์ ขณะนั่งในขบวนรถแห่ผ่านหน้าบ้านนางจินตนา แก้วขาว หรือคดีทำร้ายร่างกายนางธัญญาพร จันทร์พิทักษ์ กลุ่มคัดค้านที่เปลี่ยนใจมาสนับสนุน และฯลฯ
ผู้เสียหายเหล่านี้ ไม่ได้รับการเยียวยา แต่คู่กรณีกลับกลายเป็นฮีโร่





วันที่อำนาจรัฐเสื่อม ตำรวจหงอ ผู้ว่าฯถอย การพูดคุยด้วยเหตุผลถูกโล๊ะทิ้ง มันก็เหมือนการเพาะเชื้อโรคร้ายให้แก่สังคม รอวันลุกลามเข้าขั้นโคม่า
ต้นแบบของการแก้ปัญหาไม่ถูกสร้าง มีแต่ต้นแบบการแก้ปัญหาเอาตัวรอดเฉพาะหน้า คนที่มีมีมวลชนมากกว่า กำปั้นใหญ่กว่า คือผู้ชนะ
หายนะของประเทศรออยู่ข้างหน้า
(นำมาจาก นสพ.บางกอกทูเดย์)

23 กันยายน 2551

ที่สาธารณะ“มึงผิด-กูไม่ผิด”


ตามยุทธศาสตร์เคลื่อนไหว เอ็นจีโอ จะกำหนด “บันไดขั้น” ให้ “แกนนำม็อบ” ถือปฏิบัติคือ
ขั้นที่ 1. หยิบประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อชุมชน อาชีพ ความเป็นอยู่ ซึ่งถือเป็นประเด็นใกล้ตัวคนในชุมชนเพื่อดึงแนวร่วมให้มากที่สุด
ขั้นที่ 2 ยกระดับปัญหาจากท้องถิ่นขึ้นสู่ระดับประเทศ อาทิ ปริมาณไฟฟ้าสำรอง ค่าโง่ แหล่งครัวโลก
ขั้นที่ 3 หาทุกช่องทางกฎหมายสกัดกั้น อาทิ อีไอเอ. ใบอนุญาต ที่ดินสาธารณะ
ขั้นที่ 4 ใช้ความเคลื่อนไหวเชิงคุณภาพสร้างพันธมิตรกับนักวิชาการปัญญาชนเพื่อสร้าง “สื่อบุคคล” ในการขยายผลต่อเนื่อง
ขั้นที่ 5 ใช้ความเคลื่อนไหวเชิงกายภาพ สร้างภาวะความรุนแรงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสาธารณะ อาทิ วาทกรรมมึงสร้างกูเผา และการชุมนุมยืดเยื้อ
วันนี้ขอชำแหละ ประเด็นที่ดินสาธารณะ เป็นการชิมลาง
หากสังเกตยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการพัฒนาของภาครัฐ กลุ่มเอ็นจีโอ ซึ่งให้การสนับสนุน สร้าง “แกนนำชาวบ้าน” เพื่อน้ำหนักในการคัดค้าน มักหยิบยกมาเป็นประเด็นในการต่อสู้ก็คือ “ที่ดินสาธารณะ”
เพราะ ร้อยทั้งร้อยของบรรดาโครงการพัฒนา จำเป็นต้องอาศัยที่ดินแปลงใหญ่เป็นพันไร่ การรวบรวมที่ดินซึ่งเป็นของประชาชนและเข้าไปกว้านซื้อนั้น ยังไงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องพ่วงเอาที่ดินสาธารณะเข้าไปด้วย
แม้จะเป็นมุกเดิมๆ แต่ทุกวันนี้โครงการใหญ่ๆ ที่ถูกคัดค้านก็ยังเดินตามหลักสูตรการคัดค้าน ที่เอ็นจีโอ ยกร่างเขียนให้นำไปปฏิบัติ
โรงไฟฟ้าบ่อนอก-หินกรูด ,โครงการท่อก๊าซไทย-มาเลย์,โรงถลุงเหล็กบางสะพาน เจอ “มุก”นี้มาทั้งสิ้น
แม้ว่าโดยกฎหมายจะมีช่องทางให้สามารถยื่นขอเพิกถอนเพื่อนำที่ดินสาธารณะมาใช้ประโยชน์ แต่ขั้นตอนการเพิกถอนก็เป็นเส้นทางวิบากเสียเหลือเกินเมื่อถูกเรียกร้องให้ใช้ในสองมาตรฐาน
ภายใต้วาทกรรมว่า การรุกที่สาธารณะของชาวบ้าน เป็นการปลดแอก แต่การรุกที่ของนายทุนคือการฮุบแผ่นดิน
แกนนำม็อบที่เอ็นจีโอ “จัดตั้ง” อย่าง “จินตนา แก้วขาว” ก็อยู่ในภาวะนี้
หลักฐานคือ ข่าวสารจาก สยามรัฐ วันที่ 11 เม.ย. 2549 ซึ่งระบุความเคลื่อนไหวของ นางจินตนา แก้วขาว ที่เรียกร้องให้มีการเพิกถอน หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง(นสล.) บนที่ดินในพื้นที่ตะกาด (ที่สาธารณะที่น้ำท่วมถึง) บริเวณดอนศาลเจ้า จำนวน 10 ไร่ ซึ่งนางจินตนาและชาวบ้านจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ในลักษณะไม่มีเอกสารสิทธิ
นางจิตนา อ้างว่า ชาวบ้านอยู่มานานกว่า 50 ปีจึงควรเพิกถอนให้ชาวบ้านสามารถมีเอกสารสิทธิได้ แต่เทศบาลตำบลบ้านกรูดไม่สามารถดำเนินการให้ได้ (ดูรายละเอียดข่าวhttp://www.nhrc.or.th/news.php?news_id=710&lang=EN)
น่าเชื่อว่า จากปัญหานี้แหละที่ทำให้ จินตนา แก้วขาว และ จีรวุฒิ แจวสกุล อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกรูด ซึ่งเคยเคียงบ่าเคียงไหล่คัดค้านโรงไฟฟ้าหินกรูดมาด้วยกันแตกคอ และแยกกันเดิน
ในคราวน้ำท่วมใหญ่ที่บ้านกรูด ได้สะท้อนปัญหาจากการที่นางจินตนาและชาวบ้านส่วนหนึ่งอาศัยบนที่ดินดังกล่าว (ดูรายละเอียด http://www.prachathai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=1687&Key=HilightNews) และ (ดูรายละเอียดhttp://www.prachathai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=1785&Key=HilightNews
ในมุมของจีรวุฒิ เขาอาจมีหน้าที่รักษาประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ การกำหนดแนวทางพัฒนาเพื่อคนบ้านกรูด แต่เขาก็กลายเป็น ผู้ร้าย ในสายตานางจินตนาไปในบัดดล
ขณะที่นางจิตนาเองก็คง “มึน” กับตัวเองเหมือนกัน ที่การเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการพัฒนาต่างๆ ตนเองจะใช้ประเด็นที่ดินสาธารณะเป็นเครื่องมือหยุดโครงการ (รายละเอียดข่าว
http://www.thaingo.org/cgi-bin/content/content3/show.pl?0193) แต่เมื่อถึงคราวตัวเองที่ต้องการที่สาธารณะมาเป็นกรรมสิทธิ์ มันก็เหตุผลแบบเข้าข้างตัวเอง
พื้นที่ดอนศาลเจ้า เดิมเป็นที่ของกรมเจ้าท่า ก่อนโอนมาให้เทศบาลดูแล และจากปากคำคนในพื้นที่ยืนยันว่า การบุกรุกเข้าไปจับจองอยู่อาศัย และเลยเถิดถึงขั้นปลูกที่พักอาศัยถาวรเลยนั้น เกิดขึ้นไม่เกิน 10 ปีย้อนหลัง
ยกตัวอย่าง บ้านที่นางจินตนาอาศัย ซึ่งก็คือ บ้านของสามี ก็เป็นคดีความกับรัฐ เพราะหากรัฐไม่ทำอะไรเลยก็จะกลายเป็นละเว้นปฏิบัติหน้าที่อีกนั้น ก็ปรากฏในคดีดำเลขที่ 2767/50 อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อิศรา แก้วขาว อายุ 44 ปี ข้อหา จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ โดยจำเลยก่อสร้างบ้านไม้ 1 หลัง ต่อมาเมื่อเดือน พ.ย. 48 - มี.ค. 49 จำเลยได้ก่อสร้างอาคารบ้านพักอาศัยแบบคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียวยกพื้น 1 หลัง โดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาเมื่อวันที่ 02-03-49 เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้แจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยระงับการก่อสร้างอาคาร แต่จำเลยได้บังอาจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เหตุเกิด ณ ตำบลธงชัย อำเภอบางสะพาน โดย ศาลนัดพร้อม 05-11-50 นัดสืบพยานโจทก์ 20-05-52 พยานจำเลย 21,22-05-52
โมเดล ยึดพื้นที่ สร้างพลังต่อรอง แล้ว ค่อยเจรจาที่หลัง กำลังเฟื่องฟู เพราะข่าวแว่วว่า การกดดันเคลื่อนไหว ทำให้บุคคลเกี่ยวข้องยอมถอย กระทั่งนายจีรวุฒิ ก็โดนกระหน่ำเสียจนสอบตกเก้าอี้นายกฯเทศมนตรี นั้น ฝันขอจินตนาใกล้เป็นจริง คือ เทศบาลจะเปิดให้กลุ่มคนบุกรุกที่บริเวณดอนศาลเจ้าอยู่ต่อไปได้ ในรูปแบบการเช่า
ที่ดินติดริมทะเลราคาเดี๋ยวนี้ ใช่ย่อยซะที่ไหน

11 สิงหาคม 2551

อีกด้านของ “จินตนา แก้วขาว”

Judge Not - Bob Marley

Don't you look at me so smug

And say I'm going bad.

Who are you to judge me

And the life that I live?

I know that I'm not perfect

And that I don't claim to be.

So before you point your fingers,

Be sure your hands are clean.

Judge not

Before you judge yourself.

Judge not

If you're not ready for judgement. Woah oh oh!

The road of life is rocking

And you may stumble too.

So while you talk about me,


someone else is judging you.


อย่ามองผมอย่างคนใจแคบ....แล้วพูดว่าผมเป็นคนเลว


คุณเป็นใครที่มาตัดสินผมและชีวิตของผม

ผมรู้อยู่ว่าผมไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ....และผมก็ไม่เคยเที่ยวเอ่ยอ้างเช่นนี้

"ก่อนที่คุณจะชี้นิ้วประณาม จงแน่ใจเสียก่อนว่ามือของคุณสะอาดพอ"

อย่าด่วนตัดสินใครอื่น....ก่อนที่คุณจะพิพากษาตัวเอง!

อย่าด่วนตัดสินใครอื่น....หากตัวคุณเองยังไม่เพรียบพร้อม!

ถนนแห่งชีวิตนั้นขรุขระ แม้แต่ตัวคุณเองก็อาจก้าวสะดุด

ดังนั้น

เมื่อคุณกล่าวตำหนิผม ใครบางคนอาจตัดสินคุณอยู่ก็ได้

------

อ้างอิง บทเพลงของ ศิลปิน“ขบถแห่งโลกที่ 3” เพื่อจะบอกว่า นี่คือ ความจริงของชีวิต และเป็นสัจธรรมที่ บรรดา “มนุษย์ขี้เหม็น” ควร “สำเหนียก” ถือปฏิบัติให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน

อันที่จริงของไทยก็มีคำสอนทำนองนี้เหมือนกันว่า “มาศาลต้องมือสะอาด ขึ้นธรรมมาสต้องล้างตีน”

ทุกวันนี้สังคมไทย มีปัญหา เฮโลกันตามกระแส ขาดการพิจารณาใคร่ครวญตามหลัก “กาลามสูตร” แห่งองค์พระบรมศาสดา

“วีรบุรุษ-วีรสตรี” จอมปลอม ที่ชูคอสลอนกันในองค์กรต่างๆในทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่นักการเมืองขี้ฉ้อ เอ็นจีโอขี้ฉล นักวิชาการขี้โอ่ นายหน้าค้าความจน แม่พระผู้ใจบุญ ฯลฯ ยึด “สื่อมวลชน” เป็นเวที “ชุบทอง”

คำสอนสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี “...คนเราทุกวันนี้ดีแต่ส่องกระจกเพียงด้านเดียว ให้เอากระจกหกด้านมาส่องเสียบ้างแล้วจะเห็นเอง....”

วันนี้ขอเป็นกระจกอีกด้าน ส่องชีวิตของ “จินตนา แก้วขาว” แกนนำม็อบที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


จากแม่ค้าสู่ Local Hero

“จินตนา แก้วขาว” ชื่อปรากฏเป็นครั้งแรก เมื่อมีการต่อต้านโรงไฟฟ้าหินกรูด –บ่อนอก


ชีวิตจากชาวบ้าน แม่ค้าน้ำมันหลอด ปลูกบ้านรุกที่สาธารณะริมทะเลบ้านกรูด ได้รับการ “จัดตั้ง”จากเอ็นจีโอ ที่เป็นกระบอกเสียงให้กับ ทุนพลังงานจากยุโรป เพื่อกดดันให้รัฐบาลไทย เอื้อประโยชน์ต่อทุนพลังงานทางเลือก

ภารกิจคือ สร้างและขยายภาพ (Scenario) ให้โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจาก “ฟอสซิล” เป็นผู้ร้าย ขณะเดียวกันก็เชิดชู โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานทางเลือกให้เป็น “พระเอก”

พูดง่ายๆก็คือ เป็นการใช้อำนาจของพวกจักวรรดินิยม หาประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากประเทศกำลังพัฒนา เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจาก “เรือปืน” เป็น “เอ็นจีโอ”และ คนในประเทศนั้นๆที่รู้ไม่เท่าทัน



“เอ็นจีโอ” ใช้องค์ความรู้ สมัยเป็น “ซ้ายเก่า” ตั้งชาวบ้านและยกบทบาท เป็นทหารราบออกแถวหน้าของสมรภูมิ ขณะที่ตัวเองชักใยอยู่เบื้องหลัง

จินตนา เป็นครูเก่า เป็นแม่ค้า ครบองค์ประกอบทั้ง “บุ๋น” และ “บู๊” คือ มีหัวพอที่จะอัดความคิดได้ และ มีลีลาปากตลาด พร้อมตบตี เหมาะกับการ “ไฮปาร์ค”

“อิสรา แก้วขาว” สามีของจินตนาพูดเองเลยว่า

“คือเขาเป็นผู้หญิงน่ะ เวลาขึ้นพูดหรือ ไฮปาร์ก มันใช้คำแรงๆ ได้ ใช้วิธีการรุนแรงได้”

จินตนา ถูกสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น ประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด และเคลื่อนไหว ล้มโครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด ด้วยแนวทาง “มึงสร้างกูเผา”

แต่ถ้าจะว่าไป การล้มโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน มันก็ไม่ถือเป็นผลงาน “โบแดง” ของจินตนาอย่างแท้จริง เพราะการที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในยุคนั้นล้มโครงการฯออกไป ก็เนื่องจากไม่อยากเปิดแนวรบหลายด้านกับมวลชน

พ.ต.ท.ทักษิณ ล้ม “หินกรูด-บ่อนอก” ไม่ใช่ด้วยเหตุผลในเรื่อง “ไม่เอาถ่านหิน” แต่ เพราะตอนนั้นโครงการพัฒนาของรัฐที่ถูกต่อต้าน มีทั้งโรงไฟฟ้าหินกรูด บ่อนอก และโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย เครือข่ายเอ็นจีโอที่ต่อต้านเป็นเครือข่ายเดียวกัน

ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยอมถอยโครงการโรงไฟฟ้า แต่เดินหน้าโครงการท่อก๊าซ เป็นเหตุผลเชิงแก้ผ้าเอาหน้ารอด แก้ปัญหา แบบ “Win-Win” ตามไสตล์ “ทักษิณ ชินวัตร”

ถามว่า คนไทยทั้งประเทศได้อะไร

ตอบ ก็ได้เสียค่า FT เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาระที่รัฐต้องชดเชยเงินลงทุนที่เอกชนลงกันไปหลายหมื่นล้านบาท

ถาม ทำไมเป็นอย่างนั้น

ตอบ เพราะ เอกชนไม่ได้ผิดสัญญา แต่รัฐต่างหากที่ขอยกเลิกสัญญา

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า การล้มโครงการโรงไฟฟ้า เป็นผลงาน โบแดง ของจินตนา ก็อาจเป็นการ “พูดความจริงไม่หมด”

งานนี้ คนเสีย “ค่าโง่” ยังรวมถึง “ทุนนอก” ที่หวังกดดันเชิงนโยบายต่อรัฐบาลไทย เพราะจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่า ไทยจะเอาด้วยกับเทคโนโลยีไฟฟ้าพลังงานทางเลือก

เพราะไอ้ฝรั่งหัวแดง มันตั้งราคาเสียแพงหูฉี่ เนื่องจากบวกรวมเอาต้นทุนที่ลงไปกับการรณรงค์ผ่านเอ็นจีโอ เหมือนราคาสินค้าที่บวกรวมค่าโฆษณายังไงยังงั้น

กล่าวสำหรับจินตนา แก้วขาว จากแม่ค้า กลายมาเป็น “ด๊อกเตอร์” ของอดีตอธิบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน “นิธิ เอียวศรีวงศ์” ยิ่งม็อบ ยิ่งรุนแรง เงินทองก็ไหลผ่านมาให้ใช้โดยไม่ต้องทำมาหารับประทาน

“ยูเรก้า” เธอร้องออกมาพร้อมตัดสินใจที่ยึดเอาเป็นอาชีพ

สังคมไทย คนรู้จริงมักไม่ค่อยพูด แต่ที่ไอ้ชอบพ่นๆแล้วได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่เป็นพวกรู้แค่หางอึ่ง

จินตนา ก็เดินในแนวนี้ จนกลายเป็น “วีรสตรี” หรือ “หญิงเหล็ก” สุดแล้วแต่จะสรรเสริญเยินยอกัน

และตอนนี้ เธอก็กำลัง
“งานเข้า”

แต่เรากำลังจะ เผยข้อมูลอีกด้าน

แม่ดีเด่นแต่ลูกถูกจับคดีค้ายาบ้า

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของเรื่องราวที่ถูกตีแผ่ ขออนุญาตคัดลอกมาจาก นสพ.บางกอกทูเดย์ ฉบับวันที่ 29 ก.พ.2551



จับยาบ้าลูกนักอนุรักษ์ บทพิสูจน์ ทองแท้” ?

ขณะที่รัฐบาลประกาศสานต่อนโยบายทำสงครามกับยาเสพติด โดยทั้งนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประสานเสียง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่กลัวข้อครหาของนักสิทธิมนุษยชน ก็ปรากฏข่าวช๊อควงการเอ็นจีโอ และการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน เมื่อลูกชายของนางจินตนา แก้วขาว ถูกตำรวจทางหลวงจับกุมได้พร้อมยาบ้าถึง 17 เม็ด

คดีนี้ได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.ต.เชษฐา อ่อนสุด พนักงานสอบสวน สภ.ชะอำ ว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ด.ต.วันชัย มั่นชัย ผบ.หมู่ฝ่ายปฏิบัติการ 7 บก.ทล. ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมจุดบริการประชาชนตำรวจทางหลวงชะอำ ขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดสกัดอยู่บนถนนบายพาส-ชะอำ ช่วงเวลา 13.30 น.ของวันเดียวกัน นายสันติภาพ นักศึกษา ปวช.ปี 3 สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบุรี ได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ที่มีนายวัฒนา เสืออบ เพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบันเป็นคนขี่ เมื่อมาถึงด่านตรวจเจ้าหน้าที่เห็นท่าทางมีพิรุธ จึงขอตรวจ และพบในมือขวาของนายสันติภาพกำยาบ้าที่ห่อด้วยกระดาษหมากฝรั่งจำนวน 17 เม็ด

นายสันติภาพ ให้การว่า ซื้อยาบ้าจำนวนดังกล่าวมาจากตัวเมืองเพชรบุรี แล้วขออาศัยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายวัฒนากลับสถานศึกษาเพื่อนำไปเสพกับเพื่อน ขณะที่นายวัฒนาเจ้าหน้าที่ปล่อยตัวไปเพราะจากการสอบสวนเห็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ยาบ้า17 เม็ด คิดคร่าวๆ ราคาเม็ดละ 200 บาท ก็ตกประมาณ 3,400 บาท ขณะที่นายสันติภาพ เป็นเพียงนักศึกษาไม่มีรายได้ จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องมีการสืบสวนขยายผล แต่เบื้องต้นก็ตั้งข้อหามียาเสพติดประเภท 1 ไว้ในครอบครอง

นางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ฯบ้านกรูด เคยได้รับรางวัลแม่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมประจำปี 2550 จึงอยู่ในสภาพเหมือนโดน “ลอกทอง” ทันที !


ความจริงก่อนหน้านี้ มีกรณีตัวอย่างภาพลักษณ์อีกด้านของนักอนุรักษ์ให้เห็นกันบ้างแล้ว คือ กรณีของ จีรวุฒิ แจวสกุล อดีตแกนนำฝ่ายอนุรักษ์ต้านโรงไฟฟ้าหินกรูด ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช) ชี้มูลความผิดในการทำหน้าที่นายกเทศมนตรีบ้านกรูด

กรณีของจินตนา ในฐานะคนเป็นแม่ เธอให้สัมภาษณ์ปกป้องลูกชายว่า ที่ผ่านมาไม่มีพฤติการณ์ส่อไปในทางที่ไม่ดี แม้แต่บุหรี่ก็ยังไม่สูบ

นายสันติภาพ เป็นลูกชายคนที่ 2 เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2532 อายุเพิ่งจะ 19 ปี จินตนา เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าว ไทยเอ็นจีโอ ในเรื่องการปลูกฝังแนวคิดการต่อสู้เพื่อประชาชนให้ลูกๆว่า

“ความจริงปลูกทุกคนแหละ แต่มันไม่เอา”

ทั้งนี้ทั้งนี้ เชื่อแน่ สังคมแยกแยะออกว่า คดีลูกชายถูกจับยาบ้า เป็นคนละประเด็นกับการเคลื่อนไหวคัดค้านโรงถลุงเหล็กที่บางสะพาน

แต่เพื่อไม่ให้พลังการต่อสู้ของประชาชนหมดความชอบธรรมไปด้วย บางทีจินตนาอาจต้องทบทวนบทบาทและแสดงภาวะผู้นำในการแสดงความรับผิดชอบ

เพราะที่ผ่านมา การนำมวลชนของจินตนาถูกมองว่า นิยมความรุนแรง

ตัวอย่างอาทิ ในบทสัมภาษณ์เดียวกันของสำนักข่าวไทยเอ็นจีโอ. จินตนาเปิดประเด็นสะท้อนตัวตน เมื่อตอบคำถามนักข่าวเรื่องความเจ้าชู้ของสามี อิศรา แก้วขาว ว่า

“...มีครั้งหนึ่งนะมีหญิงมาหาที่บ้านยังเด็กเลยอายุประมาณ 16 – 17 เนี่ยแหละ ตอนนั้นเรามีลูกอ่อนๆ อยู่ เดินมาหาเรา เขาก็เรียกเลย “น้าๆ รู้จักพี่เจี๊ยบไหม?”

มาเรียกเราน้า เราก็ถามว่า “เจี๊ยบไหน” “เจี๊ยบที่เป็นคนใต้น่ะ” “ทำไมล่ะ… เราถาม” เขาบอก เปล่านัดกันไปดูหนัง

“เขาบอกอยู่บ้านกับน้า” เด็กนั่นก็ไม่รู้จักเรา เขาก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนบ้าน

โห... เราก็เรียกเพื่อนๆ เลยเอาคนมากระทืบมัน!!”

ยังไม่นับรวมคดีความในชั้นศาล อาทิ คดีล้มงานเลี้ยงครบรอบ 3 ปี "โครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด" ซึ่งศาลชั้นต้นยกฟ้องแต่ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน คดีอยู่ระหว่างฎีกา คดีทำให้เสียทรัพย์โดยเอาของโสโครกไปใส่ถังน้ำแข็งและใช้ของเน่าเสีย

รวมทั้งใช้ไม้ทุบตีรถของ นายณรงค์ พุกจันทร์ หรือกระทั่งสามีคือ อิสรา แก้วขาว ก็โดนคดีบุกรุกครอบครองที่ดินของรัฐ สร้างบ้าน ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล

หนักไปกว่านั้น ถ้าไปเปิดสารบบคดีความ ก็จะพบบุคคลนามสกุล แก้วขาว เป็นคดีความอาญาแผ่นดินเยอะแยะไปหมด อาทิ เช่น ประกอบ , สิทธิพงษ์, รังสรรค์ ,นุกูล ,เกรียงไกร, ชัชวาล และศรัญญา ซึ่งคดีที่เกี่ยวข้องก็มีทั้งที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ปืน การพนัน ยาบ้า ฯลฯ

ถ้าเราเคยเรียกร้องบทบาทของนักการเมืองที่ต้องแสดงความรับผิดชอบในปัญหาจริยธรรมต่างๆ ในทางกลับกัน นักต่อสู้เพื่อประชาชนอย่างจินตนาก็ควรยึดมาตรฐานเดียวกัน นั่นกลับไป “กวาดบ้าน” ของตัวเอง สร้าง “ครอบครัว” ซึ่งถือเป็นหน่วยทางสังคมที่เล็กแต่สำคัญที่สุดให้ดีเสียก่อน

หากเป็นทองแท้ อยู่ที่ไหนก็ยังเป็นทองวันยันค่ำ !!

ข่าวที่หนังสือพิมพ์รายงานจบลงด้วยการตั้งคำถามเชิงปรัชญา แต่ข้อมูลล่าสุดทราบมาว่า วันที่ 14 สิงหาคม นี้ ศาลจังหวัดเพชรบุรี นัดพิจารณาคดี “นายสันติภาพ แก้วขาว” โดยทั้งตำรวจและอัยการเห็นควรสั่งฟ้อง ข้อหาหนัก มียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ระบุโทษของการครอบครองยาบ้า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 1 หมื่นบาทถึง 1 แสนบาท แต่พิสูจน์ได้ว่าเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป ถือว่าเป็นการครอบครองเพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 5 หมื่นบาท ถึง 5 แสนบาท


ถึงบรรทัดนี้คงทราบ เหตุผล ทำไมเปิดเรื่องด้วย Judge Not ของ Bob Marley




(ปล.เรื่องราวด้านมืดของแกนนำม็อบในประเทศนี้ จะถูกนำมาแฉโพยในบล็อกนี้ ติดตามกันให้ได้น่ะ... พี่น้อง)


----------------------


(วันก่อนอ่าน นสพ. บางกอกทูเดย์ อีกครั้ง มีบทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ ขออนุญาตคัดลอกเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา)


คำให้การ 2 แกนนำม็อบ
แฉที่มา 60 คดีบางสะพาน


หลังเหตุลอบยิงบ้านพักของนายสุพจน์ ส่งเสียง แกนนำกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึงเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมาและวันนี้ก็ยังไม่สามารถหาตัวผู้ก่อเหตุได้ โดยข้อมูลจากการเปิดเผยของ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุขแสวง ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งระบุว่า การหาพยานมาสอบปากคำเป็นไปได้ยากเพราะคดีเกิดในช่วงกลางคืนและฝนตกหนักนั้น ก็ทำให้ดูเหมือนว่า คดีความขัดแย้งอันเนื่องมาจากความเห็นต่างในโครงการโรงถลุงเหล็ก จะเพิ่มยอดจำนวนคดีที่ไม่สามารถหาข้อสรุปให้ทะลุจากตัวเลขที่ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า มีกว่า 60 คดี


อะไร ? ทำไม ? และอย่างไร? บทสัมภาษณ์ของอดีต 2 แกนนำม็อบต้าน ซึ่งวันนี้ขอถอยออกมายืนตรงกลางจะเปิดเผยที่มาของคดีที่มีอยู่ล้นโรงพักบางสะพาน

ธัญญาพร จันทร์พิทักษ์
อดีตคนสนิท “จินตนา แก้วขาว


พื้นเพเดิมเป็นคนบ้านกรูดเลยหรือเปล่า


ใช่ คนที่นี้ เกิดที่นี่ ทำประมง ตอนนี้ให้ลูกชายทำ แล้วก็ค้าขายด้วย


จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวคัดค้านในกลุ่มอนุรักษ์


เคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ -๒๕๔๑ แล้วก็เคลื่อนไหวมาเรื่อย ที่ใส่เสื้อเขียว ตอนแรกที่ต้านโรงไฟฟ้า เขามาบอกว่า มันไม่ดี แรกเริ่มก็มีคนมาล่ารายชื่อ ถามเขาว่าเอาไปทำไม บอกค้านโรงไฟฟ้าก็ให้ไป ชาวบ้านตื่นตัว ออกมาที่แรกๆ ก็ไม่กี่คน ไปกรุงเทพก็รถบัสคันเดียว หลังๆเพิ่มเป็น ๔-๕ คัน ค่ารถก็เสียกันเอง ช่วยตัวเองมาตลอด ไม่มีใครจ่ายให้ ก็ค้านกันมาเรื่อย จนกระทั่ง ปี ๒๕๔๒-๒๕๔๓ มีการปิดถนนก็เกิดเรื่องราวใหญ่โต ลูกชายโดนจับ เค้าหาว่าตีหัวตำรวจ ก็ต่อสู้กันมาตลอด ขึ้นโรงขึ้นศาล มาหลุดเอาปี ๒๕๔๗ - ๒๕๔๘ ก็ต่อต้านกันมา โรงงานจัดกินเลี้ยง ๒,๐๐๐ โต๊ะ พวกเราชาวบ้านก็พาคนไปรวม ไปล้มโต๊ะจีน ป้าก็มีคดีอีกหาว่าเอาขี้ปลาวาฬไปหยดโต๊ะอาหาร ก็ขึ้นศาลอีกเป็นปีๆ ตัดสินมาก็เสียคนละไม่กี่บาทแล้วก็เลิก


ป้าหยุด ไม่ได้ค้าน เพราะไปเลี้ยงหลานให้ลูก หยุดค้านไป ๑๗ เดือนเค้าก็หาว่า ป้าไปรับเงินโรงไฟฟ้ามั่ง อะไรมั่ง แท้ที่จริงแล้วไปเลี้ยงหลาน หลานออกมามันพิการทางสมอง ตอนนี้หกขวบแล้ว แต่ตอนนั้นต้องขึ้นกรุงเทพฯบ่อยไปเช็ค ไปผ่าตัดตามั่ง หลังๆ ป้าก็รู้สึกเสียใจ เดิมเคยเคียงบ่าเคียงไหล่กับจินตนา (แก้วขาว)มาตลอดแล้วมาใส่ความแบบนี้ป้าก็ไม่ค้าน เลิก

ทั้งที่เมื่อก่อนสนิทกันมาก

แรกเริ่มก็ไม่สนิทหรอก มาสนิทตอนค้านโรงไฟฟ้า จะไปไหนไปเดินขบวนไปกรุงเทพฯ จะไปทุกครั้งไม่เคยหยุด


มองบทบาทของจินตนาเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างไร


ครั้งนี้ไม่รู้จินตนาหวังผลประโยชน์อะไร แต่ใจป้าคิดว่าจินตนาทำเพื่ออะไรสักอย่าง ไม่ได้ทำเพื่อแนวร่วม ไม่ได้ทำเพื่อชาวบ้านที่อยู่รอดกันมา ป้าคิดน่ะ ว่า ทำเพื่อตัวเองหรือเปล่า แล้วตอนนี้เค้าเปลี่ยนไปเยอะ จากที่เคยคัดค้านโรงไฟฟ้า ตอนนี้รู้สึกว่า จินตนากลายเป็นคนก้าวร้าว เห็นแก่ตัว ปลุกระดม


เคยทำงานร่วมกับเอ็นจีโอ มองยังไง


ก็ไปร่วมบ้างน่ะ แต่ไม่ตลอด แล้วป้าไม่เชื่อถือ เพราะป้าเคยโดน ตอนไปคัดค้านโรงไฟฟ้าที่กรุงเทพฯตอนนั้น พวกสมัชชาคนจนไปล้อมสภา แล้วมีคนพาพวกป้าไปช่วยพวกสมัชชาคนจนหน่อย เพราะตำรวจล้อม แต่พอไปแล้ว ไม่ได้ล้อมหรอก เหมือนมีเอ็นจีโอหลอกไปให้ทะเลาะให้ตีกันกับตำรวจ นับแต่นั้นป้าก็ไม่เชื่อ

คิดว่าอะไรทำให้คนที่ต้านโรงไฟฟ้ามาต้านโรงถลุงเหล็กอีก


เป็นเพราะการปลุกระดมมากกว่า


เหตุผลที่วันนี้ถอยออกมา



ก็ป้าโดนว่าโดนอะไร แล้วเราก็ไม่ค่อยเชื่อถือ บางทีทำสิ่งที่ผิดๆ บางทีเค้าใช้เรา อย่างรถผ่านมาแล้วเค้ารู้ว่า ไปทำงานกับสหวิริยา เค้าจะใช้เลย ป้าปลิวมานี่หน่อย รถคันนี้ไปทำงานกับสหวิริยาน่ะ เจอที่ไหนเอาเลยน่ะ ใช้วันนี้เลยน่ะ เราบอกโอ๊ย..ไม่ทำ..ไม่ทำ

//////////////
มานิตย์ วิรุณรังสรรค์
อดีตแกนนำกลุ่มคัดค้านโรงถลุงเหล็ก


เหตุผลที่ถอยออกจากกลุ่มคัดค้าน


ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะถอยหรอก แต่ผมไม่มีงานทำ เสื้อเขียวก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ทะเลก็ปิด จับปลาไม่ได้ ผมก็มาทำงานกับผู้ใหญ่บ้าน ทำงานก่อสร้าง พอทำงานมันก็ต้องใช้เวลา ก็ไม่ค่อยมีเวลาไปร่วมกับเขา พอไม่ไปเขาก็เริ่มว่าแล้ว มาด่าผู้ใหญ่บ้าน ด่าเสร็จก็จับกลุ่มนินทา ด่าคนอื่นๆที่ไม่ไปอีก จำได้ว่า ผมไม่ได้ไปสัก 7 วันก็มาหาว่า ผมไปทำลายป้ายคัดค้าน ผมทำมาเอง ผมไม่ทำลายหรอก


แต่เหตุการณ์วันที่ 14 มิถุนายน เราจัดขบวนขอบคุณงานเลี้ยงกำนัน ก็มีรถประมาณ 10 คันแห่ขอบคุณไปทั่ว ผ่านไปครั้งแรกก็ไม่มีอะไร พอจะกลับ ผ่านมากลับตรงนี้เหตุการณ์เกิดตรงโค้ง มีคนกลุ่มหนึ่งประมาณ 30-40 คนมาถึงก็กระตุกผ้าโชว์ให้ดู มีการเขวี้ยงปาของมา ยิงหนังสะติ๊ก เขวี้ยงระเบิดลูกไข่มา รถคันหน้าที่วิ่งไปมันมีตะปูเรือใบบนสะพาน คันหลังก็เลยป่วน มันก็ทุบตีตลอดแล้ว ก็ไปให้ข่าวว่า พวกเราทำร้ายไปทุบทำร้าย นี่ กลุ่มอนุรักษ์ อนุรักษ์พันธ์ไหนครับ สร้างความรุนแรง


ผมก็เคยอยู่กลุ่มอนุรักษ์ ที่ผมถอยมาเพราะมันเป็นเรื่องเท็จ มันปลุกระดมชาวบ้านขึ้นมา อนุรักษ์มันต้องอนุรักษ์ไปตามรูปแบบ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เราต้องมีเหตุผล มีข้อเท็จจริง


อย่างการปะทะเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ที่มีคนตายก็หาว่า ปืนลั่นใส่กันเอง ผมว่ามันไม่ใช่ความจริง ผมรู้มา แต่ผมก็ไม่เคยว่ากล่าว ผมถือว่าเสื้อเขียวพี่น้องกัน แต่เขามาปาระเบิดใส่ลูกชายผม ผมก็ถามว่า เสื้อเขียวเหมือนกันทำไมทำรุนแรงแบบนี้ ผมก็อนุรักษ์เหมือนคุณ แต่ผมทำคนละแนวทาง ไม่ใช่ปลุกระดม คือถ้าผมจะทำวันนั้น ผมก็มีเป็นพันคน ทำไมผมจะทำไม่ได้ เขามี 30-40 คน แต่เราสมานฉันท์ เราจะไม่ทำร้ายใคร

นี่เป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจ


เราไปถามเขา เขาบอกคุมไม่อยู่ พี่เป็นแกนนำคุมไม่อยู่จะเป็นได้ไง คนเราเป็นพันคน ทำไมเราคุมอยู่ พี่ต้องการอะไรอนุรักษ์หรือทำลาย เราเคยร่วมกันมากินข้าวหม้อเดียวกัน ต่อต้านมาด้วยกันแต่แนวทางให้เป็นความจริงนิดหนึ่ง ที่ผมถอยมา คือว่า มันจะเป็นเรืองสกปรกกันมากว่า มันเสียเวลาทำการทำงาน ผมมันคนจนนะครับ ไม่ใช่คนมีตังค์จะกินบางวันยังไม่มีครับ ผมต้องถอยจะได้ทำมาหากินบ้าง พอผมถอยมาคนหนึ่ง คนที่ไม่รู้เรื่องเลย ประมาณสัก 70 เปอร์เซ็นต์เขาก็หยุด พอหยุดเสื้อเขียวมาเลย ด่าพวกทรยศ พวกนอกคอก บางคนเขาไม่มีกิน ไปรับจ้างปลดปลา เขาไปไม่ได้ ก็มาด่าเขาว่าทรยศ พวกเราก็รู้สึกไม่พอใจ พาพวกมาไล่ผู้ใหญ่บ้าน คุณเอาคนที่อื่นมาไล่ได้ยังไง คนในหมู่บ้านผมมีไม่ถึง10 คนที่อยู่กลุ่มคุณ แต่คุณไปเอาคนที่อื่นมา 5 พันธมิตรน่ะ พี่น้องผมก็มีและผมจะบอกว่า แนวทางนั้นมันไม่ถูกต้อง ตอนหลังนี่คนเขาเริ่มน้อย ก็มีการว่าจ้างแรงงานต่างด้าวมา มีการให้ดื่มสุราเพื่อจะให้มายั่วยุให้เราโกรธ

ตอนอยู่กลุ่มคัดค้านมีวิธีการยังไงเวลาระดมคน

แต่ละหมู่บ้านจะมีแกนนำ 2-3 คนเหมือนบ้านผมหมู่ 5 ก็จะมีนิพนธ์ พุ่มพวง มี ผม ที่เป็นตัวเชื่อม ผมจะเป็นเรียก บางทีไม่มีเหตุผลหรอกว่า เขาจะเผาไอ้นี้แล้ว จะพังไอ้นู้นแล้ว พอไปถึงไม่มีอะไร หลายหนชาวบ้านเขาก็เซ็ง บางทีเขาว่ายังงี้เลยน่ะ ทะเลจะฉิบหายแล้วทำไมไม่มาช่วยกัน มัวแต่ทำมาหาแดก คนเป็นหัวหน้าพูดยังงี้ได้ไหม

จริงๆอะไรเป็นเป้าหมายการคัดค้าน


พวกพี่น่าจะรู้ ผมเรียนน้อยผมยังรู้เลย มันเป็นระบบขั้วลบกับขั้วบวกอยู่ ระบบองค์กร 2 องค์กรน่ะ พี่ก็ไปคิดเอาเอง ผลประโยชน์มันมีแค่ 2 องค์กรเอง เป็นองค์กรระดับโลก ที่ผ่านมา ผลประโยชน์อาจจะได้คนเดียวก็ได้ แบ่งให้ชุดหัวหน้าบ้าง แต่ชาวบ้านธรรมดาไม่ได้ ผมไปกรุงเทพเคยได้ 3-4 หมื่น แต่ไป 3-4 เที่ยวก็เหลือไม่กี่บาท ตอนนี้เขาสร้างความหวังกับชาวบ้านว่า ถ้าบริษัทสร้างไม่ได้ บริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับชาวบ้านด้วย คือ ถ้าสมมติบริษัทแพ้น่ะ เค้าจะแจ้งดำเนินคดีให้จ่ายค่าเสียหายให้ชาวบ้าน อันนี้เป็นความหวังทีเขาสร้างให้กับชาวบ้าน


(อ่านบทความที่เกี่ยวข้องซึ่งบางตอนคัดมาอ้างอิงที่นี้ แต่ฉบับเต็มสะท้อนข้อมูลลึกๆของจินตนา ก็เข้าไปดูในส่วนบทความที่เกี่ยวข้องได้ครับ)


--------------


ข่าวบทความที่เกี่ยวข้อง

รัก... ระหว่างรบ ของ อิสรา+จินตนา แก้วขาว

10 สิงหาคม 2551

เปิดตัว..สำนักข่าวใต้ดิน

เปิดตัวสำนักข่าวใต้ดิน..

ถือเป็นครั้งแรกของการปรากฎในแผ่นดินของสำนักข่าวใต้ดินที่จำนำเรื่องราวข่าวสารต่างๆที่หาไม่ได้ในกระแสสื่อหลัก..มานำเสนอ..ผ่านบล็อคแห่งนี้...

เรื่องราวเบื้องหน้าเบื้องหลังของปรากฎการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฎการณ์ความเคลื่อนไหวของบุคคลในแวดวงการเมือง สังคม มวลชน NGO ขบวนการต่างๆทั้งจริง-ปลอม และพวกแฝงสภาพ ที่ เป็นที่ทราบกันดีอยู่ในวงการสำหรับทุกปรากฎการณ์ ว่า "ไม่มีเบื้องหน้า...ที่ไม่มีเบื้องหลัง"

สำนักข่าวใต้ดิน หรือ ข่าวใต้ดิน..จะทำหน้าที่ เปิดโปง..ปรากฎการณ์..คน..อุบัติการณ์...ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนพื้นแผ่นดิน..จากหน้าฉาก สู่ หลังฉาก จากนักแสดงตัวละคร ไปถึง ผู้กำกับ และ นักเขียนบท..ท่านจะหาอ่านข้อมูลเหล่านี้ได้จากที่นี่...

สำนักข่าวใต้ดิน หวังใจว่า พื้นที่ นี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อมูล"ใต้ดิน"ที่อยากรู้ในบ้านเมืองนี้..และหวังใจว่า ข้อมูล เหล่านี้ จะนำไปสู่การ"ขยายผล"ที่ทำให้บางสถานการณ์ที่กำลังเป็นไป หรือเป็นอยู่ เกิด"ข้อท้วงติง"หรือเกิดความเปลี่ยนแปลง..ในอันที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชน...ทุกคน...รวมถึงประเทศชาติของเรา...

ด้วยจิตคารวะ
กองบรรณาธิการใต้ดิน