08 มีนาคม 2552


สุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล
ชนชั้นกลาง ของแท้

ในทฤษฏีการปฏิวัติ มักมีกลุ่มชนชั้น เป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติโดยชนชั้นรากหญ้า ชนชั้นสูง หรือชนชั้นกลาง
สำหรับสังคมไทยต้องยอมรับว่า "ชนชั้นกลาง" เริ่มมีบทบาทอย่างสูงยิ่งแทบจะในทุกมิติ

ในสายตาของนักคิดตะวันตก โดยเฉพาะกลุ่มขั้วประชาธิปไตยกระแสหลัก พยายามอธิบายว่า ชนชั้นกลาง คือ ผู้นำการเปลี่ยนแปลง เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางระหว่าง รวย-จน ดังนั้นจึงเป็นเหมือนชนชั้นที่สามารถวางใจได้ว่า จะสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้คนในสังคม กลุ่มขั้นนี้พยายามยกตัวอย่างประวัติศาสตร์การเมืองของอังกฤษและสหรัฐ หรือกระทั่งฝรั่งเศส

แต่ก็มีอีกกลุ่มขั้วความคิดว่า จริงแล้วๆชนชั้นกลาง ก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นตนเองเสียมากกว่า ดังการปกครองที่มีชนชั้นกลางเป็นแกน ในสายตาของนักวิชาการบางกลุ่ม ถ้าใช้ภาษาของกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก ที่อาจมองคำว่า "จัญไร " เป็นคำสุภาพชน บทความชิ้นนี้ก็ให้ค่าของคำในระดับเดียวกันว่า สังคมที่ชนชั้นกลางเป็นใหญ่เป็นสังคม"เหี้ยไปจัญไรมา"
บทความเรื่อง "ชนชั้นกลางกับการเมืองไทย เขียนโดย "แพทย์ พิจิตร" ตีพิมพ์ในมติชนรายสัปดาห์ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1366 อ้างทัศนะ "รอย ซี แมคริดิซ" ที่มีต่อชนชั้นกลางฝรั่งเศสตั้งแต่ศตวรรษที่สิบแปดเป็นต้นมาว่า หาได้เป็นไปตามที่อริสโตเติลได้กล่าวไว้ในช่วงสามร้อยปีก่อนคริสตกาลไม่ เพราะ
"...ในภาวะคับขัน พวกนี้ก็กลายเป็นผู้ทำลายระบบสาธารณรัฐ ในด้านการเมืองพวกนี้ไม่เดินสายกลาง และผ่อนปรนดังที่อริสโตเติล...ได้อ้างถึงพวกนี้" (ดูรายละเอียด : http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2006q4/2006october20p8.htm )

อริสโตเติลมีทัศนะที่ดีต่อชนชั้นกลาง เขาฝากความหวังไว้กับชนชั้นกลางในฐานะที่เป็นพลังสำคัญ ในการสร้างดุลที่เหมาะสมทางการเมือง ไม่สุดโต่งเกินไปเหมือนกับพวกชนชั้นสูง หรือมหาชนที่ยากจน ถ้าสังคมใดมีคนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง และมีอำนาจทางการเมือง ระบอบการปกครองของสังคมนั้นจะดีกว่า ระบอบการปกครองของสังคมที่คนส่วนใหญ่ยากจนมีอำนาจทางการเมือง


แต่ความจริงถ้าเอามาจับกับสังคมไทยก็คงจะไม่ใช่เช่นเดียวกัน

เพราะชนชั้นกลางเมืองไทย เข้าได้กับทุกชนชั้น เพื่อผลประโยชน์แห่งชนชั้นตัวเอง แม้จะต้องล้มหลักการใดๆก็ตาม

กับทัศนะเรื่องการพัฒนา ชนชั้นกลาง มักอ้างทัศนะโรแมนติกทั้งๆที่ชนชั้นตนเองบริโภคทรัพยากรอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งมีแนวโน้มเป็นชนชั้นที่มีลักษณะอำนาจนิยม
เรากล้าพูดได้ว่า 6 พันธมิตรสิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั้น แนวทางระบบคิด ถูกครอบงำโดยปัญญาชนของชนชั้นกลาง แ บบเบ็ดเสร็จ
เขาเหล่านั้นอยู่เบื้องหลัง แกนนำชาวบ้าน ที่ผ่านการ "จัดตั้ง" ทั้งสิ้น

เด่นชัดที่สุดคือ "สุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล" แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก เป็นชนชั้นกลางที่มีรากความเป็น "ลูกเจ๊ก" ครอบครัวเป็นผู้รับเหมา เธอเอง ก็มีเคยตำแหน่งเป็นถึง กรรมการผู้จัดการ หจก.เพชรเกษมการช่าง ในจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ก่อนจะหันมาทำธุรกิจรีสอร์ต



เธอ พยายามทำตัวเป็นนักอนุรักษ์ก็เพราะเกรงว่า อุตสาหกรรมจะทำลายธุรกิจท่องเที่ยวของเธอ


เธอมีน้องสาวเป็นบรรณาธิการนิตยสารโลกสีเขียว นิตยสารที่เป็นเครื่องมือ CSR ของบริษัทพลังงานใหญ่ของประเทศ


และเธออาจจะแกล้งทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง ก็ได้ว่า ขณะที่เธอต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น บริษัทพลังงานใหญ่ของประเทศซึ่งสนับสนุนสื่อที่ น้องสาวของเธอทำนั้นก็มีแผนทางธุรกิจที่จะแตกไลน์ จากธุรกิจก๊าซไปยัง "ธุรกิจถ่านหิน" เช่นเดียวกัน



แต่อย่างว่า เธอ คือ ชนชั้นกลางที่ไม่มีได้มีหลักคิด อะไรมากนัก เพราะประเด็นที่เธอต่อสู้ก็คือ อะไรก็ตามที่มาขวางผลประโยชน์ของ "(ชน)ชั้น !"



กับบทบาทล่าสุดที่เธออ้าง สิทธิเสรีภาพของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ มาตรา 57 ซึ่งระบุไว้ว่า


บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต
หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตน หรือชุมชนท้องถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว การวางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ การวางผังเมือง
การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และการออกกฎที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน
ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ”
นั้น มันก็เป็นการอ้างในลักษณะ "Double Standard"


ในวันที่เธออยากรู้ข้อมูลแล้วติดเงื่อนไขราชการเธอจะบอกรัฐปิดกั้นประชาชน


แต่เมื่อวันที่รัฐเดินหน้าทำความเข้าใจให้ข้อมูลประชาชน เธอกลับบอกว่า รัฐกำลังประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความแตกแยก


"What's a hell going on?" ฝรั่งตาน้ำข้าวนายหนึ่งสบถ ออกมาเมื่อได้ยินเรื่องเล่านี้



การออกแถลงการณ์ของเธอ "เรื่อง ขอให้ยุติการให้ความร่วมมือกับ กฟผ.ในการทำการประชาสัมพันธ์ในโรงเรียน" นั้น ไม่มีคำอธิบายอื่นใดนอกจากเป็นความพยายามปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้รับรู้ข้อมูล ๒ ด้าน


ทัศนะเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับชนชั้นกลางในภาพรวมที่มองว่า ชนชั้นรากหญ้า ประชาชนทั่วไป ไม่มี "วุฒิภาวะ" พอที่จะชั้งน้ำหนักข้อมูล 2 ด้าน


พูดง่ายก็คือ มองประชาชนโง่เง่าเต่าตุน จำเป็นต้องชี้นำ (Guidance) ดูรายละเอียดใน


(http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=15714&Key=HilightNews )


การมองประชาชน "โง่" เป็นทัศนะที่ไม่ต่างอะไรกับ ชนชั้น Elite ในทุกยุคสมัยของประวัติศาสตร์โลก


เและ เธอไม่อาจปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ แถลงการณ์ชิ้นนี้ เพราะที่อยู่ของกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก ก็ใช้เลขที่เดียวกันกับ "หจก.เพชรเกษมการช่าง" ซึ่งเป็นมรดก "เตี่ย" ของเธอ


น่าสังเกตุ ประโยคที่เธอปลุกระดมว่า "การสร้างความเจริญของบ้านเมืองด้วยมลพิษเป็นแนวคิดของคนจัญไร" นั้น คือ ท่าทีซึ่งสร้างความเกลียดชังอย่างถึงที่สุดกับขั้วตรงกันข้าม


เหมือนกับครั้งหนึ่งที่ 6 พันธมิตรสิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบฯ เคยกล่าวหา "นายปานชัย บวรรัตน ปราณ" ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบฯ ซึ่งมีแนวคิดตรงกันข้ามกับเธอว่า เป็น "จีนแดง" หรือพูดตรงๆก็คือ ด่าผู้ว่าฯเป็น "คอมมิวนิสต์" นั้นแหล่ะ


เป็น "คอมมิวนิสต์" ที่ครั้งหนึ่งเคยมีประโยคคลาสสิกอันนำไปสู่การเข่นฆ่าคนไทยร่วมชาติว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป"


เหตุผลนี้ใช่หรือไม่ ที่รองรับความชอบธรรมให้กับ มือปืนที่ลั่นไกลสังหาร "รักศักดิ์ คงตระกูล" พนักงานชั่วคราวเครือสหวิริยา


"สุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล" จึงเป็นรูปธรรมสะท้อนภาพลักษณ์ "ชนชั้นกลาง" ประเทศไทย ได้ดีที่สุดอีกตัวอย่างหนึ่ง








1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ