29 มกราคม 2552

"สุนทรียสนทนากับสุพจน์ ส่งเสียง"




เว็ปไซด์ประชา ไทย นำเสนอ บทความ "ระงับลงทุนโรงถลุงเหล็กบางสะพาน บทพิสูจน์ การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนแท้จริง" ( http://www.prachatai.com/05web/th/home/15372)


"สำนักข่าวใต้ดิน" จึงมองสุพจน์ ว่า เป็นคนที่พอจะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันได้ระดับหนึ่ง เพื่อให้สังคมได้ชั่งน้ำหนัก แล้วก็มีเสรีภาพในการตัดสินใจเลือก
บทความของสุพจน์พยายามอธิบายให้ข้อมูลด้านลบของการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กในพื้นที่อ.บางสะพาน โดยติดยึดกับ "วาทกรรมการพัฒนาที่ยั่งยืน"



"จากกรณีสื่อหลายฉบับลงข่าวการระงับการลงทุนโรงถลุงเหล็กที่บางสะพานของกลุ่มธุรกิจเหล็กในเครือสหวิริยานั้น ได้มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นในหลายๆ ด้าน และอีกด้านหนึ่งของกลุ่มผู้ที่คัดค้านโครงการก็ได้แสดงความคิดเห็นอีกมุมหนึ่งว่า มันคือการพิสูจน์ชัดได้หลายเรื่องในแง่การพัฒนาว่ายั่งยืนจริงเท็จประการใด"



ข้างต้นคือ ประโยคที่สุพจน์จั่วหัวบทความ แต่ความหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนในหลักคิดของสุพจน์ มีปริมณฑลจำกัดแค่ เรื่องสิ่งแวดล้อมและชุมชน



การยกตัวอย่างประกอบการอธิบายสมมติฐานว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นอริกับการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น ต้องยอมรับว่า ยังเป็นไปอย่างสับสน
นิยามของการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นถูกบัญญัติขึ้นโดยฝรั่งตาน้ำขาว ซึ่งก็พูดไว้ชัดว่า "...Sustainable development is a pattern of resource use that aims to meet human needs while preserving the environment so that these needs can be met not only in the present, but in the indefinite future." ( อ่านนิยามเต็มได้ที่ ( http://en.wikipedia.org/wiki/Sustainable_development )



"การพัฒนาที่ยั่งยืน คือ รูปแบบของการใช้ทรัพยากรเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ซึ่งควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการไม่เฉพาะปัจจุบันแต่ยาวนานไปถึงอนาคต"



ในคำนิยามจะมี 3 องค์ประกอบเป็นวงกลมเกี่ยวรัดทับซ้อนกัน คือ สังคม สิ่งแวดล้อมและ เศรษฐกิจ



"Sustainable development does not focus solely on environmental issues" - ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ การพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม


เป็นที่น่าสังเกตุว่า ความหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งถูกใช้ในแวดล้อมองค์กรพัฒนาเอกชน หรือโดยกลุ่มอนุรักษ์ อันหมายรวมถึง สุพจน์ นั้น ยังจำกัดแคบเฉพาะประเด็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม แล้วก็มีการอ้างอิงข้อมูลเพื่อสนับสนุนสมมติฐานที่ค่อนข้างเป็นไปในสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า "Comparable with Uncomparable" คือ เปรียบเทียบสิ่งที่เปรียบเทียบกันไม่ได้

สุพจน์ บอก "ก่อนหน้านี้โครงการเหล็กที่บางสะพานเคยเข้ามาในพื้นที่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 เป็นต้นมา โดยมีชาวบ้านในพื้นที่ออกมาคัดค้านแต่ไม่มากนักโดยคิดว่าเป็นโครงการโรงถลุงเหล็กมลพิษสูง แต่ในช่วงนั้นเองทางกลุ่มทุนก็ทำหนังสือชี้แจงว่าไม่ใช่โครงการโรงถลุง แต่เป็นเพียงโรงรีดเหล็กไม่มีมลพิษ จะไม่สร้างโรงถลุงแน่นอน และเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนเช่นกัน แต่มาวันนี้สิบกว่าปีกลับบอกว่าหากไม่มีโรงถลุงจะอยู่ไม่ได้ มีการปลดพนักงานช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ และลดเงินพนักงานจนเกิดการประท้วงทั้งสองโรงงานใหญ่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความยั่งยืนลวงตา"


สุพจน์อ้างข้อมูลเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว โดยละเลย ที่จะพูดถึงว่า ในเส้นทางระหว่าง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศมีการเติบโตอย่างไร อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง การแข่งขันทางการค้าในเวทีโลก สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่อุตสาหกรรมเหล็กต้องมีการปรับตัวและพัฒนาเพื่อเสริมศักยาภาพของอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งคำตอบก็คือ การมองว่า หากประเทศสามารถผลิตเหล็กต้นน้ำก็จะสามารถเสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ไม่จำเป็นต้องนำเข้ากันถึงปีละ 5 แสนล้านบาท อย่างในปัจจุบัน



สุพจน์ ระบุว่า " และที่สำคัญการสร้างภาพจูงใจเรื่องมีงานทำที่ดีนำไปสู่การศึกษาไปในเชิงเดียวคืออุตสาหกรรมเหล็ก โดยไม่คำนึงถึงสัดส่วนเป็นจริงในเรื่องของวิถีเดิมที่เป็นอาชีพหล่อเลี้ยงตัวอยู่ในท้องถิ่นที่ยั่งยืนแท้จริง ในด้านการท่องเที่ยว เกษตร ประมง ค้าขาย ต่างๆ"



ในประเด็นนี้ สุพจน์ละเลยที่จะบอก ข้อเท็จจริงอันเป็นความเจ็บช้ำล้มเหลวของระบบการศึกษาของประเทศนี้ว่า ก่อนที่จะมีอุตสาหกรรมในพื้นที่ คุณภาพนักศึกษา บัณฑิต ที่สถาบันการศึกษาผลิตได้นั้น อย่างมากก็เป็นแรงงานไร้ฝีมือ ทำให้ต้องมีการจ้างแรงงานจากนอกพื้นที่ ซึ่งก็ตอบโจทย์ไม่ได้ว่า ทำไมไม่สร้างงานให้คนในพื้นที่ ?
ดังนั้นการที่เอกชนเข้าไปสนับสนุนสถาบันการศึกษา ซึ่งในกรณีของบางสะพานคือ "วิทยาลัยการอาชีพบางสะพาน"
(http://www.bspc.ac.th/) ซึ่งมีการยกระดับเป็น "สถาบันเทคโนโลยีเหล็กและเหล็กกล้าบางสะพาน" ก็คือ การยกระดับศักยภาพคนในพื้นที่จากแรงงานไร้ฝีมือให้เป็นแรงงานฝีมือ เพื่อที่จะตอบโจทย์การสร้างงานให้กับคนในพื้นที่



ไม่ต่างจากที่บริษัทใหญ่ๆในประเทศนี้ทำกันเช่น โรงเรียนเทคโนโลยียานยนต์โตโยต้า (http://www.toyotaschool.ac.th/)
หรือ วิทยาลัยปิโตรเคมีของบริษัททีพีไอ(เดิม) วิทยาลัยไฟฟ้าของกฟผ.ที่จะสร้างที่แม่เมาะ ลำปาง เป็นต้น

และที่สำคัญหลักสูตรของ "สถาบันเทคโนโลยีเหล็กและเหล็กกล้าบางสะพาน"ก็ไม่ได้มีหลักสูตรเดียวแต่ยังมีทั้งช่างเชื่อม ช่างยนต์ เหมือนวิทยาลัยเทคนิคทั่วไป
สุพจน์ ต้องลองถามเพื่อนแกนนำอย่างจินตนา แก้วขาว ว่า ทำไมเธอถึงให้ลูกชายไปเรียนไกลถึงเพรชบุรี ทำไม จินตนา ไม่ให้ลูกเรียนด้านการท่องเที่ยว เกษตร หรือประมง และเพราะการต้องไปเรียนไกลหูไกลตาพ่อแม่ใช่หรือไม่ทำให้ลูกเธอต้องตกอยู่ในวังวนยาเสพติดโดนจับคดียาบ้า (http://www.komchadluek.net/2008/08/11/x_prv_n001_215675.php?news_id=215675)


สุพจน์ บอกว่า "ต้องทำความเข้าใจให้ดีคำว่ายังยืนไม่ได้หมายถึงความร่ำรวย มันต่างกัน หากคิดที่ปริมาณเม็ดเงินที่รัฐจะนำมาสนับสนุนโครงการดังกล่าวอย่างมหาศาลด้านสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น เขื่อน โรงไฟฟ้า ถนน ท่าเรือ ฯลฯ แต่สุดท้ายก็มีการจ้างงานเพียง่เป็นอาชีพหล่อเลี้ยงตัวอยู่ในท้องถิ่นที่ 3,000 กว่าอัตรา หากเอาจำนวนเม็ดเงินเดียวกันมาสนับสนุนตามศักยภาพของพื้นที่อย่างแท้จริงก็จะสามารถกระจายรายได้ทั่วถึง เกิดอาชีพที่เป็นไปตามกลไกธรรมชาติที่เป็นอยู่อย่างยั่งยืน"


ระบบคิดนี้ของสุพจน์ ละเลยที่จะมองภาพกว้างของประเทศ ว่า อุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำเป็นเรื่องของการเสริมสร้างศักยภาพประเทศ และคิดแบบตื้นเขินเกินไปและ "แยกส่วน" ที่จะให้เอาเงินจำนวนเท่ากันมาหว่านในพื้นที่เพื่อสร้างอาชีพเฉพาะของคนในพื้นที่


สุพจน์ ควรบอกให้ครบถ้วนว่า การท่องเที่ยว ที่บอกว่าเป็นศักยภาพนั้น มีชาวบ้านเจ้าของพื้นที่จริงๆกี่คน ใช่หรือไม่ว่า ส่วนใหญ่เจ้าของมักเป็นไฮโซ ไฮซ้อ จาก กรุงเทพฯ เช่นรีสอร์ตเปิดใหม่ที่บ้านกรูด ( http://www.keereewaree.com/) และ
(http://www.komchadluek.net/2008/08/06/x_lady_i001_214698.php?news_id=214698)


สุพจน์ควรบอกว่า ใครเป็นเจ้าของ และใช่หรือไม่ว่า คนในพื้นที่อย่างมากก็เป็นแม่บ้าน เด็กยกกระเป๋า
หรือศักยภาพในด้านเกษตร สุพจน์ ควรบอกต่อไปว่า การลงทุนรุกที่เพื่อปลูกปาล์ม ปลูกยาง ตามแต่ว่าสินค้าเกษตรตัวไหนจะราคาดีหรือไม่นั้นเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนในความหมายของตนเองหรือไม่


สุพจน์ ระบุว่า "นี่ยังไม่พูดถึงที่โครงการเข้ามาทำลายฐานทรัพยากรเดิม บุกรุกป่าคุ้มครองอีกหลายร้อยไร่ ที่มีการตรวจสอบและฟ้องร้องกันอยู่อีกหลายสิบคดี เพราะพื้นที่โครงการไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นวนอุทยาน เป็นป่าชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ เป็นป่าชายเลน และอยู่ในเขตปิดอ่าวถึงสามชั้นจากกระทรวงเกษตร และกรมประมงอีกด้วย"


นั่น ก็เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยกระบวนการยุติธรรมตัดสิน ไม่ใช่การหาช่องโหว่ ช่องว่าง เพื่อเดินยุทธศาสตร์คัดค้าน เหมือน การจ้องจับผิดของ ตำรวจจราจรจับรถสิบล้อ


สุพจน์ บอกว่า " อยากให้ผู้นำท้องถิ่นที่ยังด้อยข้อมูลด้านลบศึกษาอย่างละเอียดด้วย ก่อนออกมาให้การสนับสนุนทั้งที่มีข้อมูลด้านเดียว เพราะสิ่งที่จิตนาการว่ามันดีมันยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่ด้านการทำลาย ด้านคอร์รัปชั่น มีหลักฐานชัดเจนแล้วจะตอบชุมชนว่าอย่างไร ที่สำคัญตัวผู้ใหญ่กำนัน อบต.ต่างๆ ในพื้นที่ก็ยังใช้ทรัพยากรที่ถูกบุกรุกและจะได้รับผลกระทบจากการทำลายของโครงการดังกล่าวอีกด้วย"

ประเด็นนี้สุพจน์ พยายามให้ภาพว่ากลไกรัฐที่สนับสนุนโครงการ มีความอ่อนด้อยในเชิงองค์ความรู้ แต่หากกลไกรัฐเดินในตามแนวคิดของกลุ่มอนุรักษ์ฯก็จะกลายเป็น กลไกรัฐหัวก้าวหน้าที่ได้รับการชื่นชม


สุพจน์ ควรอธิบายต่อไปว่า นายธงชัย เพชรสกุลทอง นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านกรูด อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งสนับสนุนให้มีการเพิกถอนที่ดินสาธารณะเพื่อให้จินตนา แก้วขาว ได้เช่าที่ซึ่งบุกรุกอยู่นั้น เดิมเคยมีท่าทีสนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด ใช่หรือไม่ หรือกระทั่ง จีรวุฒิ แจวสกุล อดีตนายกเทศมนตรีบ้านกรูด เดิมเคยมีท่าทีคัดค้านโรงไฟฟ้าหินกรูด แต่เมื่อไม่สนับสนุนให้จินตนาได้เช่าที่สาธารณะดังกล่าวจึงทำให้ "ศัตรูกลายเป็นมิตร - มิตรกลายเป็นศัตรู" จริงหรือไม่ (http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9510000132452)

และ(http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9510000147423)


สุพจน์ ควรบอกต่อไปว่า นายสมหมาย ปานทอง กำนันตำบลธงชัย และนายบุญธรรม แดงเครือ นายกอบต.ธงชัย ซึ่งเหมือนน้ำกับน้ำมันกับกลุ่มอนุรักษ์ และมีจุดยืนที่ต่างกันในเรื่องโรงถลุงเหล็กนั้น ในวันที่พวกเขาเห็นด้วยกับการแก้ผังเมืองตำบลบ้านกรูดให้เป็นสีเขียว พวกเขากลายเป็น กลไกรัฐหัวก้าวหน้า ที่มีองค์ความรู้ประกอบการตัดสินใจแล้วใช่หรือไม่
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pro07281151&sectionid=0112&day=2008-11-28






ที่สำคัญ สุพจน์ ควรบอกว่า นายบำรุง สุดสวาท อดีต ผช.ผญบ.ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดียิงนายรักศักดิ์ คงตระกูล พนักงานเครือสหวิริยา นั้น ใช้องค์ความรู้ครบถ้วนแล้วใช่หรือไม่

ถึงที่สุดแล้ว มันอาจต้องย้อนมาทำความเข้าใจเรื่องของ "สุนทรียสนทนา" (Dialog) ของ David Boom ซึ่งนพ.ประเวศ วะสี อธิบายว่า " ไม่เน้นการที่คนเราเถียงสวนกัน เพราะการที่เราเถียงส่วนกันนี้ถือว่าตื้น ไม่เป็นปัญญา เน้นปัญญาจะต้องฟัง ฟังอย่างลึก ถ้าเถียงกันไปมาถือว่าตื้นไม่เกิดปัญญา"
ประเด็นของ Dialog ก็ คือการนำเสนอความรู้ ความคิด และประสบการณ์ของแต่ละคนนโดยไม่เน้นการเอาชนะ คัดคาน หรือถกเถียงกัน หรือให้แตกหักในเรื่องความคิดความเห็น หรือเอาชนะคัดคาน ใช้วิธีการสุนทรียะโดยฟังผู้อื่น ฟังความคิด ประสบการณ์ของผู้อื่นอย่างลึก หรือที่เรียกว่า Deep listening เพื่อพยายามทำความเข้าใจว่า ผู้พูดนั้นพยายามจะสื่อสารอะไร ไม่ใช้ว่าเราจะคอยตั้งประเด็นไปหักล้าง

ถ้าสุพจน์ กำหนดสถานะว่า ตนเองรู้มากกว่า กำนันผู้ใหญ่บ้านนั้น มันก็จะรังนำไปสู่การวิวาทะมากกว่าจะหาทางออก


บทสรุปปิดท้ายของสุพจน์ที่ว่า "อย่างไรก็ดีโครงการโรงถลุงเหล็กดังกล่าว ที่ผ่านมาได้มีการคัดค้านและตรวจสอบจากประชาชนในพื้นที่มาหลายปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสนใจในการเข้าตรวจสอบและแก้ปัญหาอย่างจริงจังเพื่อที่จะได้คลี่คลายปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ที่อาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้น"


นั่นย่อมเป็นความงดงามของสุพจน์ ที่เปิดเผยท่าทีของการแสวงหาทางออกทางปัญญา ปัญหาคือ สุพจน์ ซึ่งเป็นสายพิราบ ในกลุ่มอนุรักษ์ จะทานน้ำหนัก ชี้ชวนความเห็นของ "กลุ่มสายเหยี่ยว" ได้มากน้อยแค่ไหน

25 มกราคม 2552

ความจริงที่ "นสพ.ข่าวสด" ยังไม่เสนอ

นสพ.ข่าวสด ซึ่งมี "จุดขาย" ในการนำเสนอข่าวด้านสิ่งแวดล้อม ในลักษณะฟังความข้างประชาชน แม้บางครั้งอาจถูกมองว่า เป็นการมองอย่างไม่ครบถ้วนในแง่มุม แต่มันก็เป็นจุดขายของหนังสือพิมพ์หัวสีค่ายประชาชื่น




ในทางข้อเท็จจริง คำถามที่ไม่ต้องตอบ ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า นักข่าวสิ่งแวดล้อม จะให้นำเสนอข่าวเชียร์การพัฒนามันก็เป็นไปไม่ได้



ข้อสังเกตุประการหนึ่งก็คือ ในสำนักข่าวเดียวกันแทบจะทุกสำนัก "โต๊ะข่าวสิ่งแวดล้อม" กับ "โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ" มักจะไม่กินเส้นกันเป็นส่วนใหญ่




ล่าสุด "ข่าวสด" ฉบับวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6632 นำเสนอสกู๊ปเด่นเรื่อง "ทำนาหาเสบียง ต่อสู้โรงถลุงเหล็ก" เนื้อหาคือ การให้รายละเอียดกิจกรรมเคลื่อนไหวของชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ที่ใช้พื้นที่นาร้างปลูกข้าวเพื่อเป็นเสบียงในการต่อสู้กับโครงการโรงถลุงเหล็ก อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเข้าใจว่าเป็น "ศึกยืดเยื้อ" (อ่านฉบับเต็มได้ จาก http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROb1lYQXdNVEkxTURFMU1nPT0=&sectionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBd09TMHdNUzB5T)
แน่นอนว่า เนื้อหาในการนำเสนอก็ย่อมเป็นจุดยืน หรือมุมมองที่มองกิจกรรมนี้ในเชิง โรแมนติก



"...ชาวบ้านกรูด และแม่รำพึง ต้องการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง มีงานสุจริตทำ มีอาหารสะอาดกิน แม้ไม่รวยล้นฟ้า แต่ก็มีความสุข และยืนยันในเจตนารมณ์นี้ ดีกว่ายอมให้แผ่นดินบ้านเกิด ตกเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษในอนาคต..." ความตอนหนึ่งของสกู๊ประบุ



ความจริง "ข่าวสด" เป็น นสพ.ไม่กี่ฉบับที่กล้า สอบทาน "แนวคิด -แนวทาง" ของ "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"(พธม.) น่าจะเข้าใจได้ดีกว่า การพูดความจริงเพียงเศษเสี้ยว หรือ การพูดความจริงไม่หมด การแบ่งแยกกลุ่ม ชนชั้น ขยายภาพว่า "ทุน" กับ "ชุมชน" เป็นปฏิปักษ์ต่อกันนั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่ง



แม้เราจะรู้ดีกว่า เสียงของชาวบ้าน เสียงของคนตัวเล็ก จำเป็นต้องเอามาขยายผล แต่ "ข่าวสด" น่าจะเรียนรู้ได้ดีว่า ผลข้างเคียงของการ "ให้ท้าย" ทำลายอะไรหลายอย่างๆที่บางทีคาดไม่ถึง



"ข่าวสด" น่าจะรู้ดีว่า การทำนาปลูกข้าวเป็นเพียงกิจกรรมที่เล่นกับสื่อ หวังเรียกร้องความสนใจจากสื่อและสร้างภาพลักษณ์ให้กับกลุ่มอนุรักษ์ฯ ไม่ต่างจากที่ พธม.เคยปลูกข้าวในทำเนียบ คราวนั้น สื่อทุกฉบับนำเสนอภาพการปลูกข้าวในทำเนียบเพราะเป็นประเด็นสีสัน โดยไม่ได้รู้เลยว่า นั้นคือการพยายามรักษาพื้นที่ข่าวตามหน้าสื่อที่ต้องคิดกิจกรรมกันตลอดเวลาไม่ให้ตกจากพื้นที่สื่อ





















ข่าวสด นำเสนอว่า "ชาวบ้านจึงรวมตัวกันเป็นกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง เพื่อต่อสู้ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของพวกเขา หวั่นจะถูกทำลายหลังการเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมเหล็ก การคัดค้านดำเนินมายาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 จวบจนปัจจุบันยังมีกลุ่มชาวบ้านแห่งบ้านกรูด ที่ผ่านการต่อสู้คัดค้านโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน จนโครงการนี้ต้องล้มพับพ้นจากพื้นที่บ้านกรูดไป มารวมผนึกกลับกับกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง"
ข่าวสดไม่รู้เลยหรือว่า การไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอันเป็นผลจากการคัดค้านของกลุ่มอนุรักษ์นั้น ทุกวันนี้โรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งก็ได้ก่อสร้างแล้วเป็นที่เรียบร้อยที่ จ.ราชบุรี โรงหนึ่ง และที่ จ.สระบุรี อีกโรงหนึ่ง เพียงแต่ไปใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
ภาษาชาวบ้านก็คือ "เตะหมูเข้าปากหมา"
กลุ่มพลังงานทางเลือก ที่คอยสนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์นั้น ก็เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับ กรีนพีซ ที่ต้องการให้รัฐบาลไทย เปิดประตูให้ทุนพลังงานทางเลือกเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งของตลาดพลังงาน (ดูราละเอียด http://www.greenpeace.org/seasia/th/campaigns/climate-and-energy) แม้หลายคนจะอิดหนาระอาใจกับวิธีการหาทุนของกรีนพีซที่จ้างเด็กตระเวณขอรับบริจาค
(http://www.zubzip.com/cheat/view.aspx?nid=841) แต่มันก็เป็นเรื่องของการทำมาหากิน
วันนี้รัฐบาลไทยยังไม่ดำเนินนโยบายตามการเคลื่อนไหวของเอ็นจีโอข้ามชาติ ดังนั้นกิจกรรมคัดค้านจึงมีต่อเนื่อง กรณีของโรงถลุงเหล็กที่บางสะพาน จึงมีวาระเรื่องการต่อต้านถ่านหินด้วยเพราะประเมินกันว่า โรงถลุงเหล็กจะดึงอุตสาหกรรมต่างๆเข้ามา
เรายังไม่รู้ว่า ถ้าทุน และรัฐ ตัดสินใจเอาไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกเข้ามาใช้ในพื้นที่อุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันตก จะสลายขั้วม็อบค้านในส่วนที่ต่อต้านพลังงานจากฟอสซิลหรือไม่

ข่าวสด เสนอโดยอ้างคำสัมภาษณ์ของ นายพงษ์ศักดิ์ บุตรรัก รองประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด ว่า "ที่เลือกทำนา เพราะที่ดินเดิมทำนาได้ผลดี และเห็นว่าแขกไปใครมา หรือชาวบ้านที่ผลัดเวรยามเฝ้าระวังในจุดต่างๆ ไม่ให้นายทุนเข้ามารุกที่ ก็ต้องกินข้าว เมื่อข้าวเป็นอาหารหลักของคนที่นี่ การปลูกข้าวจึงน่าจะได้ประโยชน์มากที่สุด" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ข่าวสด เองไม่สงสัยหรือว่า ถ้าที่ตรงนี้ทำนาได้ผลดี ทำไมจึงปล่อยทิ้งร้าง
ข่าวสด ไม่รู้เลยหรือว่า เดิมพื้นที่อ.บางสะพาน มี "นาข้าว"อยู่มากกว่าที่เห็น แต่เพราะชาวบ้าน เกษตรกรหันไปเห่อปลูกมะพร้าว เบื่อกับชีวิตชาวนาที่ต้องต่อสู้กับเรื่อฝนฟ้า ค่ายาค่าปุ๋ย ล่าสุดพื้นที่ถูกแย่งชิงเพราะความเห่อในการปลูกปาล์ม นั่นจึงทำให้การทำนาข้าวหายไปจากพื้นที่
แน่นอนล่ะว่า "ฝนไม่ตก แดดไม่ออก ขี้ไม่สุด เยี่ยวไม่สะเด็ดน้ำ โทษทุน โทษอุตสาหกรรม โทษรัฐ" มันก็ต้องถูกวันยังค่ำ เหมือนทุกวันนี้ "อะไรไม่ดี โทษทักษิณ" ไว้ก่อน รับรองปลอดภัยหายห่วง
ข่าวสดนำเสนอ คำสัมภาษณ์ของ นางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด ว่า ""ข้าวที่ได้จะจัดสรรออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกนำไปเป็นวัตถุดิบหุงกินสำหรับกลุ่มชาวบ้านที่ผลัดเฝ้าเวรยามบริเวณป่าพรุ พื้นที่ชุ่มน้ำ เพราะถูกลักลอบจากนายทุนเผาป่าเป็นระยะ ส่วนที่ 2 นำไปเป็นเครื่องยังชีพสำหรับชาวบ้านที่เป็นเวรยามเฝ้าที่สาธารณะ ที่กลุ่มนายทุนมักสบโอกาสนำดินมาถม เพื่อกั้นเป็นกำแพง ส่วนสุดท้ายนำไปเก็บไว้หุงกินสำหรับชาวบ้านที่ทำศูนย์วิทยุชุมชน ซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้ของชาวบ้าน สามารถแจ้งข่าวสาร และทำความเข้าใจให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รัศมี 30 กิโลเมตร" เนื้อหาสะท้อนให้เห็นว่า การจัดการมวลชนของกลุ่มอนุรักษ์เป็นไปอย่างมีระบบ มีการจัดตั้ง "การ์ด" เหมือนกับ "การ์ดพันธมิตร"
ภาพของการ์ดพันธมิตรเป็นอย่างไร คงไม่ต้องบรรยายต่อกระมัง !!!
รายงานนี้ไม่ใช่การจับผิด แต่ต้องการนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน ให้คิดกันทุกแง่ แม้ชะตากรรมของคนที่พูดความจริง จะทำให้สำนักข่าวใต้ดินเผชิฐกับแรงต้านเหมือนที่ข่าวสดเคยโดยกรณีเหตุการณ์พันธมิตรฯ เราก็พร้อม

24 มกราคม 2552



ฟ้องแล้วมือยิงคนสหวิริยา















บรรยายภาพ : นายบำรุง สุดสวาท จำเลยคดียิงคนงานสหวิริยาภายใต้การห้อมล้อมให้กำลังใจจากม็อบเสื้อเขียวและคนหน้าคุ้น - ขาประจำ "วีระ สมความคิด"


24 มกราคม 2552 ครบรอบขวบปีพอดีสำหรับเหตุการณ์ยิงนายรักศักดิ์ คงตระกูล ลูกจ้างชั่วคราวเครือสหวิริยา เสียชีวิต ขณะม็อบคัดค้านโครงการโรงถลุงเหล็กนำมวลชนเข้าไปขัดขวางการดำเนินการปรับพื้นที่ตั้งโครงการ
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ จากการเปิดเผยของนางจินตนา แก้วขาวประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบ้านกรูดก็คือ อัยการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สั่งฟ้องนายบำรุง สุดสวาท อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5 ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งแกนนำชาวบ้านเตรียมหาหลักทรัพย์ประกันตัวนายบำรุง ในชั้นศาล คาดว่า จะเป็นในวันที่ 30 มกราคม นี้ โดยนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะเดินทางมายื่นประกันตัวผู้ต้องหาด้วยตนเอง คดีนี้ทั้งนายไกรศักดิ์ และนายวีระ สมความคิด ออกหน้าช่วยเหลือผู้ต้องหาเต็มสูบ
ขณะที่ นายสุวรรณ ทองกลอย ประธานสภาทนายความจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในฐานะทนายความของฝ่ายผู้เสียหาย อธิบายว่า การสั่งฟ้องของอัยการเป็นไปตามกฎหมาย หลังจากที่ได้มีคำสั่งแนะนำคดี โดยให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติมเนื่องจากปากคำของพยานระบุ น่าจะมีผู้ต้องหาเพิ่มเติม แต่ปรากฏว่า การทำงานของตำรวจไม่มีความคืบหน้า ทางอัยการจึงต้องสั่งฟ้องนายบำรุงเพียงคนเดียวไปก่อนเพื่อไม่ให้คดีขาดอายุความ ส่วนว่าภายหลังตำรวจสอบสวนเสร็จแล้วมีใครเข้าข่ายความผิดก็ค่อยฟ้องตามที่หลัง
เวลาหายไปเฉย 1 ปีเต็ม เพราะถึงที่สุดคือ อัยการจำเป็นต้องสั่งฟ้องนายบำรุงไปคนเดียวก่อน
ตำรวจจึงตกที่นั่งลำบาก โดยเฉพาะ "สารวัตรโต๊ะ" พ.ต.ท.จรูญศักดิ์ โต๊ะถม พนักงานสอบสวน (สบ 2) สภ.บางสะพาน ซึ่งรับผิดชอบคดี
ก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร) ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ให้ดูแลใกล้ชิดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ อ.บางสะพาน สั่งการตรงไปยัง "สารวัตรโต๊ะ" ให้ “ขันน็อต” ด่วนโดย "วรรคทอง" ของ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ คือ “ทำคดีอย่างตรงไปตรงมา” แต่ "สารวัตรโต๊ะ"ก็ทำงานได้เท่าที่เห็น




บรรยายภาพ : นางเขียด-นางผิว -น้องเม็ดฝ้ายและญาติผู้สูญเสียทวงความเป็นธรรม "ถ้าเป็นฝ่ายค้านตาย ป่านนี้มันเอาศฟแห่กันจนโลงผุนั่นแหละ"
นางเขียด คงตระกูล ภรรยาผู้เสียชีวิต บอกว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นางผิว มารดาของนายรักศักดิ์ ได้เดินทางไปสอบถามความคืบหน้าของคดีกับ "สารวัตรโต๊ะ" แต่คำตอบที่ หญิงชราผู้สูญเสียเสาหลักของครอบครัวคือความว่างเปล่า
"ตำรวจบอกว่า ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเพราะคดีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน" นางเขียดอ้างถึงคำชี้แจงสำเร็จรูปของ "สารวัตรโต๊ะ"
เมื่อถามว่า 1 ปีแล้ว จะเคลื่อนไหวทวงถามความเป็นธรรมอย่างไร นางเขียดบอกโดยซื่อว่า "หนูไม่มีเงินวิ่งเต้น"
24 มกราคม 2552 จึงเป็นเพียงการบุญเลี้ยงพระแบบเรียบง่าย
ความฝันของรักศักดิ์ก่อนเสียชีวิต คือ อยากมีเรือสักลำ ออกทะเลหาปลา ภาพชาวบ้านเสร็จงานประจำในโรงงาน แล้วออกเรือหาปลาในยามว่างนั้นงดงามยิ่ง แต่ภาพฝันถูกมัจจุราชคร่าไป นางเขียดบอกว่า ชีวิตทุกวันนี้ต้องรับผิดชอบคนเดียว โดยเข้าไปทำงานเป็นแม่บ้านบริษัทเครือสหวิริยา ซึ่งช่วยเหลือทุนสนับสนุนการศึกษาของ "น้องเม็ดฝ้าย" ลูกสาวผู้สูญเสียพ่อ
สัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ อ.บางสะพาน เพื่อรับฟังปัญหาความขัดแย้งอันเนื่องจากโครงการโรงถลุงเหล็ก แล้วออกมาให้ข่าวสื่อมวลชนว่า สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงตามที่เป็นข่าว
เข้าใจว่า กระทรวงมหาดไทยพยายามจะเข้าไปแก้ปัญหา โดยแรกเริ่มต้องพยายามสร้างบรรยากาศที่ดีเพื่อเปิดเวทีพูดคุย แต่หลังจากนั้นแกนนำม็อบคัดค้านก็ออกมาโต้ทันควันว่า "บิดเบือน"
มองกันแบบง่ายๆก็คือ ม็อบค้านต้องยันว่ามีความขัดแย้งรุนแรง ไม่เช่นนั้น จะหาว่า ชุมชนให้การยอมรับโครงการโรงถลุงเหล็ก
วันนี้เจ้าของโครงการโรงถลุงเหล็ก บอกว่า ขอหยุดโครงการเพื่อรอความชัดเจนของรัฐบาล โดย เหตุผลหลักไม่ได้อยู่ที่มีการคัดค้านเนื่องจากพบว่า ชาวบ้านในพื้นที่ 95 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วย แต่หยุดเพราะการเดินงานหลายอย่างต้องมี "ธง” ชัดเจนจากส่วนกลาง กลไกราชการถึงจะขยับ
แม้กระทั่งคดียิงรักศักดิ์ก็เถอะ!! ถ้า “ธง” ชัด เชื่อว่า “สารวัตรโต๊ะ” ก็คงเดินหน้า เพียงแต่บทเรียนของตำรวจไทย มันสอนว่า ทำงานตามทิศทางลมปลอดภัยกว่ากันเยอะ

คัดลอกจาก นสพ.บางกอกทูเดย์